นำเสนอนิยาย….ผู้ชนะสิบทิศ

image

ผู้ชนะสิบทิศ

ตอนลูกร่วมนม

เบื้องนั้น พระพุทธกาลล่วงไปแล้ว ๒๐๗๓ พรรษา เมงกะยินโย ตั้งตนเป็นมหากษัตริย์ ทรงนามพระเจ้าสิริชัยะสุระ ยกเศวตฉัตรขึ้น ณ เมืองตองอู เรืองกฤษฎานุภาพแผ่ไปทั่วดินแดนถิ่นที่อยู่ ณ เวิ้งแม่น้ำอิระวดี อันชื่อว่าพุกามประเทศนั้น บรรดาหัวเมืองอันเป็นใหญ่ คือ เมืองอังวะ  เมืองหงสาวดี  เมืองแปร  ก็ผูกพันเจริญไมตรีซึ่งกันแลกัน เป็นอันดี

แลพระเจ้ามหาสิริชัยะสุระมีราชธิดาเกิดแต่พระอัครมเหสีอันหาชีวิตไม่แล้วพระองค์หนึ่ง   แลราชบุตรซึ่งเกิดกับพระราชเทวีองค์หนึ่ง  ทั้ง

สองร่วมชันษาเดียวกัน แต่พระราชบุตรอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย ราชดรุณทั้งคู่เติบกล้ามาด้วยธารถันของแม่เลาชีนางนม ทั้งแม่เลาชีก็มีบุตรคนหนึ่ง แก่เดือนกว่าราชบุตรหลวงเพียงเจ็ดเดือน ทารกทั้งสามจึงได้ดื่มเลือดในอกเดียวร่วมกันสืบมาแต่น้อย ๆ แลเจริญวัยใหญ่แข็งขึ้นมาด้วยการฟูมฟักของแม่เลาชีนางนม วิสัยของแม่เลาชีนั้นแม้จะมิโดยอำนาจที่เป้นพระนมลูกหลวง ก็โดยที่อัธยาศัยมักเกื้อกูลผู้น้อยต้องลักษณะนายคน จึงจะว่ากล่าวสิ่งใดชะแม่นางกำนัลทั้งหลายก็เกรงอยู่ ฉะนั้นบุตรของแม่เลาชีจึงละม้ายลูกหลวง ลูกเจ้าสองลูกไพร่หนึ่งก็เล่นหัวสนิทสนมเจริญวัยมาด้วยกันในพระราชวังเมืองตองอูจนวัยรุ่น พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระพระราชทานนามกุมารว่ามังตรา ฝ่ายพระราชกุมารีว่าตะละแม่จันทรา แลแม่เลาชีก็ให้ชื่อลูกชายของตนว่าจะเด็ด

            มังตราราชโอรสมีลิ้นดำเป็นอัศจรรย์มาแต่กำเนิด แลมีนิสัยพกโมโหจะเอาสิ่งใดก็มักถือตามลำพังใจ หาไตร่ตรองให้แน่แท้ถี่ห่างลงไปไม่ มาตรจะเฉียบแหลมเจรจาเฉลียวฉลาด ก็ยังเป็นที่รักแห่งคนทั้งปวงน้อยกว่าจะเด็ด ซึ่งทั้งฉลาดแลเจรจาความเป้นที่ชอบหูคน จะร่ำเรียนศิลปะวิชาการใด ๆ ก็มิอาจดีเกินกว่าจะเด็ดได้ ดั่งนั้นเด็กรุ่นกระทงทั้งคู่จึงโต้แย้งทุ่มเถียงกันด้วยขอความที่ตัวได้ศึกษามาอยู่เนือง ๆ แต่จะเด็ดมักเป็นคนถนอมใจเพื่อน เมื่อใดมังตราหมายจะเอาชนะจนลืมตัวก็ออมปากคำเสีย มิได้คิดอ่านโต้เถียงให้ยาวความสืบไป ตะละแม่จันทราจึ่งมีจิตเอ็นดูและฝักใฝ่ในจะเด็ดมากกว่ามังตราผู้เป็นน้องชาย มังตราสำเหนียกความข้อนี้แล้วก็ผูกใจชัง คิดไปตามประสาคนอ่อนวัยว่าตะละแม่จันทราต่างพวกต่างคณะกับตน แต่จะว่ากล่าวหรือข่มขู่เอาก็ยังไม่ถนัดมือ ด้วยมีจะเด็ดกีดขวางเป็นคนกลาง แลน้ำพระทัยพระราชบุตรนั้นทั้งที่วิวาททุ่มเถียงกับจะเด็ดเป็นนิตย์ ก็ยังรักแลคิดถึงความสุจริตซึ่งสหายร่วมนมมีต่อตนอยู่ ครั้นจะหาเรื่องรุกพระพี่นางโดยเหตุไม่บังควรก็เกรงใจจะเด็ด เพราะมังตราแจ้งว่าตะละแม่จันทรานั้น เป็นผู้ต้องอัธยาศัยของแม่เลาชี

          เพลาวันหนึ่ง เด็กทรามคะนองทั้งสองสำราญอยู่ด้วยการเล่นสนุกต่อพระพักตร์พระราชเทวี พอตะละแม่จันทราทำสิ่งที่ไม่พระทัย พระเจ้าลูกเธอเข้าผลักไสพระพี่นางด้วยกำลัง พระราชมารดาก็ดุเอาว่าเจ้าลิ้นดำทำฉะนี้มิชอบ อันแม่จันทรามาตรแม้นจะเป็นพี่ก็หาใช่พี่ร่วมครรภ์ ทั้งชันษาก็แก่เกินกันไม่กี่วันตกรุ่นหนุ่มสาวทัดทียทกันอยู่ ซึ่งจะยั่วเย้าวู่วามถึงถูกเนื้อต้องตัวดังนี้ เหมือนมิใช่สืบสายสุขุมาลชาติอันประเสริฐ แม้นรู้ถึงเบื้องยุคลบาทก็จะตำหนิได้ว่าเป็นคนถ่อยไม่รู้พระราชกำหนดประเพณี ฉะนั้นถ้าสืบไปวันหน้ายังขืนปากว่ามือถึงดังนี้อีกแล้วก็จะได้รับโทษจากมือข้าเป็นแน่แท้ มังตราเป็นเด็กปัญญาไว พอถูกกริ้วแล้วก็คิดหาอุบายที่จะแกล้งให้ตะละแม่จันทรากับจะเด็ดอยู่ห่างกัน จึงคอยทีจนได้โอกาสอยู่สองต่อสองกับพระราชมารดา แล้วก็เสแสร้งประจบจนพระราชเทวีลืมความผิดของตนเมื่อตะกี้ แล้วก็เอาความที่ตะละแม่จันทรากับจะเด็ดสนิทสนมกันขึ้นทูล พระราชเทวีแจ้งดั่งนั้นก็ครุ่นคิดในพระทัยว่า อันความสนิทสนมของเด็กคู่นี้ แม้ว่าขณะนี้ยังไม่แจ่มชัดว่าผูกใจกันโดยชั้นเชิงเสน่หาก็หาควรปล่อยปละละเลยไม่ จะเหมือนหนึ่งละไม้เถาไว้ในฤดูฝน รังจะผลิดอกออกใบใหญ่โต ควรทิ้งรากให้ขาดเสียก่อนดอกก้านจะงอกงาม แต่ครั้นจะสั่งให้แยกกันเสียโดยอำนาจเล่า แม่เลาชีจะน้อยใจได้ จำเราจะพูดผ่อนปรนมิให้เสียทั้งสองฝ่าย ดำริแล้วพระราชเทวีก็เชิญแม่เลาชีมาเฝ้า แล้วรับสั่งกับแม่เลาชีว่า จันทราลูกเรานั้นเติบโตควรจะอบรมให้รู้จักกิจทั้งปวงอันควรแก่ขัตติยะนารีแล้ว จะขอรับตัวคืนมาอยู่ ณ ตำหนักเรา ซึ่งท่านฟูมฟักอุ้มชูนางมาแต่น้อย มิใช่แม่ก็เสมือนแม่นั้นจัดเป็นคุณกับเราอยู่ จึงขอสนองท่านด้วยเงิน ๑๐๐ แท่ง ขอท่านอย่ามีความเสียใจต่อการที่เรารับนางคืนเลย แม่เลาชีได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้แล้วว่า ความเสียใจนั้นข้าพเจ้าจะมีหามิได้ เพราะทราบว่าพระองค์จะบำรุงนางให้วัฒนารุ่งเรืองได้กว่าข้าพเจ้า แต่เวลาที่ได้อุ้มนางมาแต่อายุยังไม่ครบเดือนจนจะบรรลุเข้า ๑๕ ปี ๆ นี้ ถึงจะหักอย่างไรก็ไม่วายอาลัยได้ ตลอดกาลที่นางอยู่ในภาระของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าก็ใฝ่ใจยิ่งกว่าพระราชบุตรแลจะเด็ดเลือดในอกเสียอีก เพราะเป็นหญิงแลกำพร้าแม่ อนึ่งข้าพเจ้าเป็นคนยากจน ที่ได้เป็นพระนมลูกหลวงก็ถือว่าราชการ จะถือเอาน้ำนมตนเป็นคุณหรือสิ่งของอันข้าพเจ้าได้ให้ตะละแม่แล้วนั้นมิได้ ฉะนั้นขอยกเงิน ๑๐๐ แท่งของพระราชทานนี้ ถวายแก่จันทราเป็นส่วนแสดงอาลัยของข้าพเจ้าเถิด พระราชเทวีเอ็นดูความสุจริตของแม่เลาชีจึงตรัสว่า ขอท่านอย่าเอาการห่างกันมากังวลเลย จากสำนักท่านมายังตำหนักหลวงนี้ก็ห่างกันแต่ท้ายวังหัววัง มิใช่เมืองตองอูไปเมืองแปร เมื่อท่านขัดขวางด้วยชราจะมาเยี่ยมลูกเราบ่อยมิได้ เราก็จะส่งลูกเราไปคำนับท่าน ๑๐ วันต่อครั้งหนึ่ง แม่เลาชีกราบขอบคุณแล้วก็กลับสำนัก แลแจ้งการทั้งนั้นแก่ตะละแม่จันทรา ข้าทาสผู้คนรู้ข่าวก็ชวนกันมาห้อมล้อมรำพันอาลัยนาง เว้นแต่มังตราผู้เดียว สมคะเนแล้วก็ยิ้มอยู่ในหน้า

            ครั้นสนธยา คนทั้งปวงในเรือนพระนมหลับสิ้นแล้ว แต่ราชธิดาน้อยจะต้องจากถิ่นที่เคยอยู่ในวันพรุ่งนี้ยังตื่นอยู่ จะข่มตาข่มใจประการใดก็ไม่อาจหลับลงได้ เวลายิ่งดึกพระราชธิดาก็ยิ่งทวีความหม่นหมองพระทัยนัก จึ่งลุกออกมาจากห้องที่นอนด้วยแม่เลาชี หยุดยืนพินิจดูสวนน้อยแลเวิ้งบริเวณบ้านอันเป็นที่สำราญมา ๑๕ ปี แล้วทอดใจใหญ่

            ฝ่ายจะเด็ดแจ้งเรื่องมารดาไปเฝ้าพระราชเทวีแล้วก็ก่นโศก หลบหน้าไม่สนทนากับผู้ใด ในคืนนั้นก็หาได้หลับนอนเช่ยเคย คนทั้งปวงมัวกังวลด้วยตะละแม่จันทราเสียจะมีใครกังวลถึงจะเด็ดก็หาไม่ จะเด็ดจึ่งนั้งจับเจ่านานช้าอยู่บนคบไม้ริชานเรือนนั้น

            แลเมื่อจะเด็ดเห็นคนเดินอยู่บนชานบ้าน ครั้นสังเกตถนัดว่าคือตะละแม่จันทราแล้วก็ดีใจนัก โจนขึ้นมายังชานเรือนแล้วร้องว่า จันทราเอย วาสนาของเราแล้ว จึ่งได้ดลใจให้ได้พบกันเช่นนี้ก่อนจะจากไป ตะละแม่จันทราเห็นจะเด็ดก็ปีติเป็นกำลัง แทบจะลืมเสียว่ารุ่งอรุณพรุ่งนี้นี่แล้วจะต้องละเรือนน้อยของพระนมไป

            จะเด็ดกุมพระหัตถ์ราชธิดาพระเจ้าตองอูมาแนบกับอก มีดวงใจเหมือนหนึ่งจะสำลักด้วยความทุกข์ อัดอั้นอยู่เป็นครู่ไม่อาจออกปากประการใด ตะละแม่จันทราประจักษ์กิริยาจะเด็ดแล้วก็ยิ่งสงสารแลอาลัยนัก ย่อกายไหว้ลงที่อกจะเด็ดแลร่ำไห้ว่า แม้จะมิใช่หน่อเนื้อเชื้อแถวเดียวกัน ข้าพเจ้าก็เคารพท่านเสมอพี่ ครังนี้มาตรว่าจะห่างก็เพียงร่างกายของข้าพเจ้าดอกที่จะมิได้อยู่คอยประโลมใจท่านเช่นเคย แต่ความเคารพแลซื่อตรงนั้นใจจันทราบัดนี้เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นสืบไปเบื้องหน้าจนสิ้นอายุขัย จะเด็ดจึงว่า สาธุ ขอฝากถ้อยคำท่านให้แก่เทพยดาบำรุงรักษาไว้ จักได้ยืนยงคงอยู่มั่นคงเสมอด้วยพระสถูปชเวทะคอง การห่างน้องท่านนั้นยิ่งแจ้งน้ำใจลึก ความชอกช้ำก็พลอยเกาะกินหัวใจข้าพเจ้าลึกลงตาม อันชีวิตจะเด็ดจะตายช้าตายเร็วประการใดก็คงอยู่ที่ใจตะละแม่จะลืมข้าพเจ้าช้าหรือเร็วเป็นเที่ยงแท้ แลวิตกว่าชีวิตข้าพเจ้าเห็นจะสั้นเสียเป็นแน่แล้ว ไหนน้องท่านจะจำข้าพเจ้าไปได้นานวัน เพราะธรรมดาวิสัยของมนุษย์ย่อมมักใฝ่ด้วยความเจริญตาเจริญใจ จันทราละเรือนน้อยของพระนมไปสู่ตำหนักหลวง ความสุขทั้งปวงพรั่งพร้อมก็จะจูงพระทัยให้ยินดีในความสุขนั้น ๆ ที่ละน้อยละน้อย เกรงว่านานวันเข้าจะจางข้าพเจ้า จะเด็ดจะราคาต่ำเสียยิ่งกว่าทองรัดข้อพระบาท พระราชธิดาปิดปากจะเด็ดไว้แล้วตรัสว่า ทุกข์ที่จากอกแม่เลาชีผู้มีพระคุณหนึ่ง ทุกข์ที่จะจากผู้ที่รักดังดวงใจอีกหนึ่ง รวมกันทั้งสองประการเข้าก็สุดจะพรรณนาทุกข์นั้นเป็นภาษาคนได้แล้ว มิหนำซ้ำยังจะมิได้จากพี่ท่านไปด้วยความไว้วางใจซ้ำอีกเล่า ก็เหมือนหนึ่งท่านจะฝากแผลไว้กับข้าพเจ้าถึงสองแผล แลนางชี้มือขึ้นไปบนฟ้าแล้วว่า โอกาสที่ข้าพเจ้าจะอยู่ร่วมเรือนท่านเหลืออยู่เท่าที่โอกาสอันพระจันทร์จะพึงอยู่ได้ร่วมฟ้า ณ คืนนี้ ขอพี่ท่านจงอย่าได้พูดให้มีสิ่งใดแสลงเลย อันน้ำใสใจจริงของข้าพเจ้าท่านก็ประจักษ์สิ้น ควรหรือจะทรมานเอาด้วยถ้อยคำดั่งนี้อีก อย่าแต่ตำหนักหลวงของราชเทวีเมืองตองอูเลย ถึงมาตรว่าจะเอาเศวตฉัตรเมืองอังวะกับเมืองหงสาวดีรวมกันมากั้น ราชูปโภคอันสูงศักดิ์นั้นก็จูงใจจันทราเมืองตองอูให้ถอยความซื่อกับจะเด็ดลงไม่ได้แล้ว จะเด็ดกอดนางประทับทรวงอกไว้มิอาจกลั้นน้ำตาได้ พลางว่า จันทราเอยข้าพเจ้าไม่เคยพบนางเสียเลยจะเป็นบุญกว่า ถ้าหากว่ามารดาข้าพเจ้ายังมีอาชีพอยู่บ้านงะสะยอก ณ กรุงพุกามอย่างกาลโพ้นแล้ว เราทั้งคู่ก็คงไม่ต้องมาช้ำใจด้วยการนี้ ตะละแม่จันทราก็รับว่าข้าพเจ้าเล่าก็เห็นเป็นกรรมหนักที่เกิดมาในราชตระกูลเนื้อไขของพระมหากษัตริย์ แม้กระนั้นศักดิ์ตระกูลจะพรากก็ได้แต่ตัว ขอวานท่านจดจำข้อนี้ไว้ให้แม่นเถิด ท่านนั้นเป็นชายชาติเชื้ออาชาไนย เคยได้ยินว่าคนทั้งปวงก็สรรเสริญลักษณะอยู่ ทั้งเป็นสหายสนิทของมังตราผู้จะได้รับราชสมบัติอีกเล่า แม้พากเพียรให้เข้มแข็งคงจะได้ฝากชื่อไว้ในแผ่นดินบ้าง เมื่อใดท่านเติบกล้า ขอท่านอย่าลืมถ้อยคำที่เคยพูดกับข้าพเจ้าทั้งวันนี้แลวันก่อน ๆ เสีย จะเด็ดรับคำแล้ว่า ข้าพเจ้าจะสิ้นใจเสียก่อนจะสิ้นกรรมก็สุดแต่วาสนาเถิด แม้นปีกหางกล้าแข็งเมื่อใด ถึงน้องเราจะตกไปอยู่เมืองบาดาลก็จะรับมาเป็นเจ้าของใจข้าพเจ้าให้จงได้ แลทั้งคู่พร่ำฝากความอาลัยซึ่งกันจนใกล้สว่างจวนผู้คนจะตื่นแล้วจึ่งลาจาก รุ่งเช้าตะละแม่จันทราก็คืนไปสำนักอยู่กับพระราชเทวี ต่อครบ ๑๐ วันเมื่อใดพระราชเทวีจึ่งให้มาเยือนแม่เลาชีได้หนึ่งวัน พอแดดอ่อนก็ถูกพากลับ แลมังตรานั้น วันใดถึงเวรที่พระพี่นางจะมาเยี่ยมก็แกล้งชวนจะเด็ดให้ไปกับตนที่โน่นที่นี่เนืองๆ

            อยุ่มาวันหนึ่ง มังตราเพิ่งริเริ่มเล่นสกาจึงหลงเพลินจนลืมเสียว่าเป็นวันมาของพี่นาง ตะละแม่จันทราสนทนากับแม่เลาชีพอประมาณแล้วก็ลอบมา ณ ห้องจะเด็ด แลจะเด็ดโสมนัสเป็นที่สุด กอดนางไว้แล้วเวียนจูบโดยจงใจ ตะละแม่จันทราแสร้งว่า วันนี้ไฉนจะเด็ดจึ่งทำกับน้องท่านจนเกินควร ซึ่งท่านทำดังนี้มิชอบแลมิใช่เป็นเวลาเข้าไต้ไฟ แม้ความทราบถึงคนทั้งปวงแล้วก็จะเสียขึ้นได้ จะเด็ดไม่ยอมวางมือแล้วว่า ธรรมดาผิดชอบชั่วดีทั้งปวงข้าพเจ้าก็รู้แก่ใจแล้ว แต่ครั้นพบหน้าน้องเราเข้าสิความที่เคยรู้ก็ลืมเสียสิ้น รู้แต่ว่าการจูบประการเดียวนี่แล้วจะถ่ายเทความรักที่ท่วมท้นอยู่ในอกตัวออกไปสู่ผู้ที่รักได้ แลถ้าการนี้ตะละแม่ท่านจะปรับเอาเป็นความผิด ข้าพเจ้าก็จะรับเอาว่าตัวผิดตรงที่ไม่กล้าจูบให้มากสาสมกับที่ตั้งใจคอยมาหลายวัน

            ครั้นแล้วจะเด็ดค่อยจับนางออกไปห่างตัวแต่เบามือ พินิจดูทั่วร่างพลางพรรณนาโฉมขัตติยนารีด้วยใจสวาทว่า จะเด็ดนี้บุญน้อย แม้จะได้ต้องตัวเชยกลิ่นแม่ศรีเมืองตองอูด้วยมือตนแล้วก็ทะนุถนอมไว้ไม่ได้นาน เวลาที่เล่าช่างหมดไปรวดเร็วผิดแผกแตกต่างกับเวลารอ บุญตัวยังดีอยู่บ้างตรงที่แม้ตัวท่านจะลับไป ข้าพเจ้าก็อาจวาดทรวดทรงทั้งสิ้นนั้นขึ้นดูได้ด้วยตาเปล่า มาตรแม้นไม่กีดนิหนึ่งว่าราชภัยจะเกิดแก่มารดาแล้วก็จะช่วงชิงจันทราดวงใจข้าบุกป่าฝ่ารกซอกซอนไปตามประสายาก ตะละแม่จันทราได้ฟังก็ใจอ่อน ทอดตัวลงในอ้อมแขนจะเด็ดพลางปลอบด้วยคำหวานว่า ชาตินี้ทั้งชาติใครจะรักจันทราเกินกว่าจะเด็ดพี่ข้าพเจ้านั้นคงจะหามีไม่แล้ว น้ำใจท่านข้อนี้ข้าพเจ้าก็สำนึกอยู่ จงพากเพียรไปก่อนเถิด แม้นไม่สมหวังด้วยสุจริตแล้วถึงจะระเหระหนอดมื้อกินมื้อซึ่งข้าพเจ้าจะไม่กล้าตายด้วยท่านนั้นอย่าหมาย แต่บัดนี้ข้าพเจ้าละมาจากแม่เลาชีนานครันจะเป็นที่สงสัยแก่คนทั้งปวงได้จึงขอลาท่านไปก่อน ไว้อีกสิบวันข้างหน้าเผื่ออ้ายลิ้นดำไม่ตามจองผจญเราจึงค่อยพบกันใหม่ จะเด็ดยังอาลัยอยู่ คงกอดนางแน่นไว้ไม่ยอมวางมือ

 

ราชภัยครั้งแรก

          วันนั้น มังตราเล่นสกาเวียนแพ้ซ้ำอยู่หลายกระดาน ครั้นเล่นอีกเห็นแต้ตัวเข้าตาร้ายเสียอีกจึ่งพาลคว่ำกระดานเสีย แลพอมาถึงเรือนพระนม แม่เลาชีผู้เฒ่าก็แจ้งโดยซื่อว่า วันนี้พระพี่นางมาอยู่จนเย็นใกล้เพลากลับอยู่แล้ว เชิญพระราชบุตรท่านไปสนทนาด้วยพี่นางเถิด มังตราฟังแล้วเอ๊ะพระทัย ทั้งไม่พบหน้าจะเด็ดก็ปักใจสงสัยแน่วแน่จึ่งย่องซ่อนเสียงไปดูยังห้อง เห็นดาลขัดแน่นสนิท ฟังเสียงพูดข้างในลอดออกมาแว่ว ๆ ก็ยิ่งแน่ใจจึ่งขัดกลอนนอกไว้มิให้ฝ่ายข้างในเปิดได้ วิ่งแล่นหมดฝีเท้าไปเต็มพักก็ถึงตำหนักพระราชเทวี เอารหัสนั้นกราบทูลแก่พระราชมารดา พระราชเทวีพิโรธนักแต่มิกล้าเอ็ดอึงด้วยความกลัวไม่งามหน้าจะอื้อฉาว เรียกหาข้าหลวงคนสนิทให้ตามเสด็จแล้วแล้วดำเนินด้วยพระบาทมายังเรือนแม่เลาชีโดยด่วน

            ครั้นถึงจึ่งแจ้งแก่มาเลาชีว่า บัดนี้อ้ายลูกถ่อยของท่านทำความเกินหน้า มิรู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ พระราชอาญาเกรงสักน้อยก็หาไม่ ตัวเป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า เราไว้ใจกระนี้แล้วควรหรือมาเป็นใจด้วยอ้ายลูกทรยศ แม่เลาชีไม่ทราบเรื่องก็ทูลถามเอาความจริงว่าลูกข้าพเจ้ายังจะมีผิดด้วยประการใดหรือ พระมหาเทวีชี้ไปยังห้องจะเด็ดแล้วตวาดว่า แม้นมิสำนึกว่าลูกตัวผิดก็จงเรียกมันให้เปิดประตูออกมาเถิด

            ฝ่ายคนคู่ซึ่งอยู่ในห้องนั้น พอได้ยินเสียงพระราชเทวี ตระหนักว่าความแตกก็สะดุ้งกลัวเป็นกำลัง ตะละแม่กอดจะเด็ดไว้แน่นแล้วร้องว่า เมื่อฟ้าดินกำหนดให้ชีวิตข้าสิ้นสุดในอายุขัยน้อย ๆ เท่านี้ ก็ขอให้ตายอยู่ข้างคนที่รักเถิด ไม่ขอตายด้วยทัณฑกรรมแลน้ำมือใครอื่นแล้ว แต่จะเด็ดเป็นคนสติมั่น เมื่อภัยมาถึงหน้าก็ระงับไม่ตีโพยตีพายโดยเปล่าประโยชน์ แลเป็นคนไม่ลังเลตรองการอันใดก็เฉียบขาด มาครั้งนี้แม้รูปการข้างตัวแทบสิ้นประตูดิ้นอารมณ์ก็ยังเป็นปกติ กอดตะละแม่จันทราแล้วปลอบให้ทุเลาหวาด เมื่อเห็นช่องทางรอดแล้วจึ่งว่า ครั้งนี้อุปมาเหมือนเราทั้งสองจะข้ามมหาสมุทรด้วยเรือน้อยอันนั่งได้เพียงคนเดียว ขึ้นนั่งสองคนก็จะล่มเลยตายทั้งคู่ ฉะนั้นเราควรจะลงว่ายน้ำลอยคอเสียคนหนึ่ง ตะละแม่เปรียบประดุจเพชรประดับพระมหาพิชัยมงกุฎ ค่าตัวแพงกว่าข้าพเจ้าหลายร้อยเท่านัก จงยึดเอาเรือน้อยไปกว่าจะถึงฝั่งเถิด แลหากว่ากุศลมีบ้างเรี่ยวแรงเหลือพอจะกระเดือกเข้าถึงฝั่งได้จันทราคงพบข้าพเจ้าอีก บัดนี้ข้าพเจ้าจะคิดการแก้เอาตัวท่านรอด ฉะนั้นขออย่าขัดขืนวิธีการซึ่งข้าพเจ้าจะทำเป็นอันขาด แลข้าพเจ้าจะทูลสิ่งใดแก่พระราชเทวีก็ให้ตะละแม่น้องท่านรับสมอ้างเอาคำทูลว่าเป็นความจริงทั้งสิ้น ขอท่านจงให้สัจจะแก่ข้าพเจ้าว่าจะมิคืนคำในข้อนี้ ตะละแม่จันทราก็รับสัญญาเอาแล้วว่า ข้าพเจ้าเชื่อถือสติปัญญาท่านอยู่แล้วไยมาระแวงว่าจะไม่ยอมตาม จะเด็กำชับพระพี่นางมิให้ตกใจ แล้วก็รีบคว้าผ้ามารัดนางไว้หลาย ๆ เปลาะ และผูกปากเสียมิให้เจรจาได้ ครั้นผูกสำเร็จแล้วจึ่งจูบตะละแม่จันทราเวียนซ้ำทั้งซ้ายขวาแลรำพันว่า วิสัยคนเรานั้นจะเป็นตายร้ายดีประการใดก็สุดแต่พรหมลิขิต แม้พระพรหมมิกำหนดว่าวาสนาของข้าพเจ้ากับท่านจะสุดเอาเพียงนี้ เราก็คงจะได้ทะนุถอนมร่วมใจกันสืบไปเบื้องหน้า ขอน้องท่านจงคำที่ว่าไว้ให้มั่น ข้าพเจ้าจะว่าการใดกับพระราชเทวีจงอย่าได้ขัดขวางเลย ตะละแม่จันทราก็พยักเอา พอเสียงข้างนอกอื้ออึงโครมครามยิ่งขึ้น จะเด็ดก็ถอดดาลประตูออก พระราชเทวีกับแม่เลาชีถลันเข้ามา ครั้นปะตะละแม่จันทราต้องพันธนาการอยู่ก็พิศวงหนัก

            ยังไม่ทันจะให้พระราชเทวีออกโอษฐ์ว่าขานประการใดจะเด็ดก็ฟุบตัวกราบลง ณ พระบาทแล้วสำแดงโทษตนว่า ข้าพเจ้ามาฉุกคิดว่าละเมิดกฎมณเฑียรวังแลอาชญาพระเจ้าอยู่หัวก็ต่อเมื่อได้ทำการไปแล้ว โทษข้าพเจ้าครั้งนี้มาตรว่าจะเอาชีวิตเป็นเครื่องถ่ายก็หาสมกับโทษานุโทษไม่ ดั่งนั้นข้าพเจ้าไม่อาจอ้อนวอนขอโทษตัว แต่จะขอแจ้งความจริงให้ประจักษ์ว่าการนี้เกิดแต่ฝ่ายข้าพเจ้าเป็นผู้ก่อโดยแท้ แลได้อาจเอื้อมกระทำแก่พระราชธิดาโดยพลการ ดังจะเห็นพยานจากที่ตะละแม่ถูกผูกมือผูกปากอยู่ขณะนี้ บัดนี้เล่าข้าพเจ้ามาคิดได้ถึงความไม่รู้จักประมาณก็เกรงว่ากรรมอันชั่วแห่งตนจะพลอยเปื้อนถึงผู้บริสุทธิ์ไม่รู้ชี้เป็นใจด้วย ข้าพเจ้ากล้าถวายชีวิตแก่อาชญาพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่กล้าที่จะไปรับโทษของยมบาลด้วยการฉุดพระราชธิดาให้พลอยมีมลทินด้วยเลย พระราชเทวีฟังจะเด็ดทูลดั่งนั้น ทั้งตะละแม่จันทราถูกพันธนาการ ดูสมจริงก็ลังเลพระทัย แลข้างจะเชื่อว่าจะเด็ดนั้นทำกำเริบจริง ตะละแม่จันทราแจ้งอุบายจะเด็ดแล้วก็ตกใจ แต่ไม่อาจทัดทานอย่างไรได้เพราะจะเด็ดเรียกเอาสัจจะเป็นคำตายมั่นคงไว้

            แต่แม่เลาชีนั้นตรงเข้าทุบตีบุตรของตนไม่ยั้งมือ แลบริภาษว่า แม้นกูรู้ว่าน้ำนมกูจะชุบเลี้ยงให้มึงมาทรยศต่อพระเจ้าอยู่หัวเพลานี้แล้ว ก็ปรารถนาที่จะตายเสียดีกว่าอยู่เพื่อมีชื่อในแผ่นดินว่าเป็นแม่อ้ายคนไม่คิดคุณเจ้า จะเด็ดนั้นเป็นคนใจเพชร ถูกด่าถูกตีอย่างไรหาร้องไห้ไม่

            พระราชเทวีว่า การนี้มิได้ตกอยู่ในอำนาจที่เราจะระงับเรื่องราวไว้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ แม้นงำไว้เกลือกวันหลังแจ้งถึงพระกรรณพระเจ้าอยู่หัวความผิดจะตกแก่ตัวเราได้ เมื่อท่านมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยจะเด็ดผ็บุตรแล้ว อย่าเหลือความอาลัยไว้แก่มันเลย จงคุมตัวมันไว้ให้แน่นหนา เราจำเป็นต้องนำความนี้ขึ้นทูลตามหน้าที่ เราไว้ใจท่านเป็นผู้เฒ่าคงเห็นแก่การแผ่นดินใหญ่กว่าชีวิตอ้ายลูกจัณฑาล แล้วพระราชเทวีก็เปลื้องเครื่องผูกรัดพระราชธิดาแลพาตัวกลับไป ตะละแม่จันทราละล้าละลังอยู่ ประกอบกับกำลังตื่นตระหนกจึงไม่เป็นอันจะพูดจาสิ่งใด

            พระราชเทวีกลับไปแล้ว แม่เลาชีก็โบยจะเด็ดอยู่ซ้ำหลายพักจนเหนื่อยอ่อน แลผูกคร่อมเสาละให้อยู่คนเดียว ฝ่ายมังตราครั้นเห็นเรื่องที่ตนก่อขึ้นกลายเป็นเรื่องใหญ่ แลจะเด็ดต้องรับเคราะห์รุนแรงก็ได้คิด ตริอยู่ในใจว่า ครั้งนี้เราหาอันริไม่จึ่งพากันเดือดร้อนไปทั้งบ้าน แลจะเด็ดเพื่อนร่วมใจก็ถูกโทษเป็นที่น่าสงสาร ได้คิดดั่งนั้นแล้วมังตราจึ่งลอบเข้าไปเยี่ยมจะเด็ด แต่มิกล้าพูดจาโดยตรง กลบเกลื่อนสำแดงทุกข์ร้อนเป็นเชิงพลอยเศร้าไปด้วย จะเด็ดคะเนการแล้วก็แจ้งว่ามังตราคงเป็นตัวการในเหตุนี้เป็นแน่แท้ จึ่งว่าอันลักษณะบุรษนั้น มาตรว่าจะเลวทรามต่ำต้อยด้วยวิทยาการใดก็ยังพอจะได้ชื่อว่าเป็นบุรุษบ้าง แต่ถ้ามันขาดเสียซึ่งความกล้าแล้วไซร้ ก็ย่อมเป็นที่น่าเย้ยหยันด้วยประการทั้งปวง มังตราเอย ท่านนี้ก็เป็นชายชาติขัตติยตระกูลสูงกว่าคนทั้งแผ่นดิน ไฉนมาละความกล้าเสีย ทำมารยาประหนึ่งอิสตรีแพศยา ที่ท่านลงมือทำร้ายสิท่านไม่กลัว ครั้นลงมือทำร้ายข้าพเจ้าแล้วยังจะมาเกรงข้าพเจ้ารู้กระนี้ ข้าพเจ้าให้วิตกแทนการที่ท่านจะครองตัวไปเบื้องหน้าว่า จะไว้ตัวมิสมชื่อว่าเป็นชายชาตินักรบ มังตราได้ฟังจะเด็ดกล่าวดังนั้นเหมือนหนึ่งอาวุธเสียดแทงเข้าไปในอก มิอาจระงำกิริยาต่อไปได้ก็สารภาพแลว่า ขอพี่จงยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าเถิด ซึ่งได้ทำไปแล้วนั้นเกิดแต่เบาความโดยแท้ นิสัยข้าพเจ้าทำการมักวู่วามพี่เราก็รู้อยู่ แต่เหตุซึ่งล่วงไปแล้วนั้น แม้ข้าพเจ้าจะทำประการใดก็หาช่วยให้เหตุที่เกิดแล้วหายเงียบไปได้ไม่ ฉะนั้นเราจงมาคิดอ่านหาทางผ่อนหนักเป็นเบาลงเถิด ท่านก็ไวสติปัญญาแลจะมาทอดอาลัยดั่งนี้ ยังจะควรหรือ ข้าพเจ้านี้เมื่อได้ทำผิดก็หวังจะรับใช้ท่านถอนตัวให้ชอบขึ้นบ้าง แลบัดนี้ถ้าพี่ท่านจะใช้ประการใด ข้าพเจ้าจะรับเอาว่าเป็นความกรุณา วานท่านอย่าเก็บเอาความคะนองไม่รู้คิดของข้าพเจ้าไว้เป็นข้อผูกพยาบาทเลย จะเด็ดฟังแล้วก็คลายโกรธลงบ้าง ด้วยได้รู้ใจมังตรามาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าฉุนเฉียวไม่ยั้งคิดมักตามใจตัว ผิดอารมณ์สิ่งก็วู่วามเอาชั่วครู่หนึ่ง แต่น้ำใสใจแท้ข้อที่มังตรารักใคร่ฝ่ายตัวเป็นเพื่อนตายจะเด็ดก็แจ้งอยู่ ครั้นมังตราลุกะโทษเอาดั่งนั้นก็ใจอ่อน จึ่งว่าท่านชอบแล้วซึ่งการเกิดแล้วเราจะมาตรองไยให้ป่วยการ ท่านแนะนำให้หาทางแก้ไขนั้น บัดนี้ข้าพเจ้ามาคำนึงถึงเห็นว่าโทษทัณฑ์ครั้งนี้ใหญ่หลวงเป็นที่ยิ่ง แจ้งถึงพระเจ้าอยู่หัวแล้วชีวิตข้าพเจ้ายังมีหรือไม่ก็สงสัยอยู่ เล็งเห็นแต่พระมหาเถรขัตติยาจารย์เจ้าอารามกุโสดอ อาจารย์เราแลเคยเป็นเหมือนหนึ่งอาจารย์พระบิดาท่านเท่านั้น จะเพ็ดทูลให้หนักกลายเป็นเบาได้ หากท่านเห็นแก่ไมตรีแลอาทรชีวิตข้าพเจ้าอย่างปากว่าแล้ว จงรีบไป ณ บัดใจนี้ นิมนต์มหาเถรโดยด่วนว่าขณะนี้ข้าพเจ้าหาเห็นใครเป็นที่พึ่งไม่แล้ว ขอฝากชีวิตไว้กับเจ้าพระคุณอาจารย์เราผู้เดียว ค่ำวันนี้พระเจ้าอยู่หัวเสด็จ ณ ตำหนักพระราชเทวีเมื่อใด เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็จักต้องออกเล่นการขันพนันเอาชีวิต ฉะนั้นท่านจงเร่งนิมนต์พระมหาเถรมาในเพลาค่ำวันนี้ให้จงได้ คอยทีว่าพระกาฬคุกคามเอาตัวข้าพเจ้าเมื่อใดก็ให้ท่านนำพระอาจารย์เข้าเฝ้าทันทีนั้น มังตราว่าท่านเล็งการไวประหนึ่งนายทัพหน้า ไว้ใจเถิดข้าพเจ้าจะอาสาท่านในการนี้ให้ถึงขนาด เมื่อทำผิดแล้วก็ปรารถนาจะทำชอบ ว่าแล้วมังตราก็ผ่อนเชือกที่มัดจะเด็ดให้คลายออกมิให้แน่นนัก จะเด็ดก็ขับมังตราเร่งออกไปยังกุโสดอ

            ในเพลาค่ำวันนั้น พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระเสด็จยังตำหนักพระราชเทวีเช่นเคย ครั้นได้ทราบความที่พระราชเทวีทูลแล้วทรงพระพิโรธเป็นกำลังให้เร่งเบิกตัวจะเด็ดมาโดยด่วน แม่เลาชีพอบุตรเข้าเฝ้า ทั้งที่แค้นก็ไม่อาจกลั้นความสงสารบุตรที่จะต้องอาญาไว้ได้ น้ำตาไหลอาบหน้าแต่ปากนั้นก็พร่ำด่าจะเด็ดมิได้ขาด

            พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระนั้น พระทัยโทโสมีเสมอด้วยมังตรา เมื่อฟังความจากพระราชเทวีแล้วก็ยังไม่วางใจสนิทว่าราชธิดาจะมิได้เป็นใจด้วยจะเด็ด ครั้นรับสั่งถามตะละแม่จันทรามิได้ความก่นแต่ร้องไห้ พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระจึ่งกังวลพระทัยหนัก ครั้นผินพระพักตร์มาพบจะเด็ดก็ดุจเพลิงสุมอยู่กลางทรวงนั้นได้พบน้ำมันก็ขู่เอาด้วยโวหาร ซ้ำเมื่อจะเด็ดยืนคำอยู่ว่า ตนกล้าทำโดยตะละแม่จันทรามิได้ยอมใจด้วยแล้ว ยิ่งพิโรธขึ้นเป็นทวีคูณ เร่งนายโขลนโบยจะเด็ดเพื่อให้บอกเนื้อความ

            พระราชธิดาเห็นคนคู่พิสมัยถูกโบยอยู่ต่อหน้าหวายที่แหวกลมหวดลงไปแต่ละที เสียงขวับเขวียวเป็นที่น่าสยดสยองใจแลจะเด็ดหากจะกัดฟันไม่ร้องออกมา กระนั้นก็บิดกายเร่าอยู่ด้วยแรงหวายเป็นที่น่าเวทนานัก ตะละแม่ไม่อาจทนดูคนรักดิ้นรนอยู่กระนั้น จึ่งจินตนาการว่า แม้นเรายอมชั่วคืนสัจจะวาจาของจะเด็ดเสีย แจ้งความจริงทั้งปวงกับพระราชบิดาแล้วคงจะช่วยให้จะเด็ดต้องรับการทรมานลดลงไปบ้าง คิดดั่งนั้นแล้วตะละแม่จันทราก็กราบทูลพระราชบิดาว่า ถ้าจะยั้งการลงทัณฑ์แก่จะเด็ดแล้วข้าพจเก็จะแจ้งการทั้งสิ้นตามจริง พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระก็ให้โขลนเพลามือไว้ จะเด็ดเห็นดังนั้นก็สะดุ้งใจเกรงตะละแม่จันทราจะเปิดความออก อันจะพาให้เข้าร้ายสองคน จะห้ามก็จนใจด้วยตกอยู่หน้าที่นั่ง ครั้นเขม็งตาตะละแม่จันทราก็แสร้งเมินเสีย แล้วเล่าความตามที่นางเข้าไปในห้องของจะเด็ดด้วใจสมัคร พระเจ้าอยู่หัวประจักษ์ความแล้วกลับพิโรธซ้ำขึ้นกว่าเก่า แย่งหวายมาจากโขลนโบยจดะเด็ดด้วยพระหัตถ์เอง แลรับสั่งให้พระราชเทวีลงอาชญาแก่พระราชธิดา

            ดรุณรุ่นใจเพชรมิได้ครั่นคร้ามต่อกำลังหวาย จะเด็ดทูลเอาพระมหาสิริชัยะสุระว่า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์มีปรีชาญาณแผ่ไพศาล ไฉนจึ่งมองข้ามอุปนิสัยของสตรีเสียเล่า อันน้ำพระทัยพระราชธิดานั้นก็เจริญรอยพระบาทพระองค์อยู่ คือมีความเวทนาสัตว์ผู้ยากเป็นที่ตั้ง จึ่งกล้ารับเอาว่าไปสู่ข้าพเจ้าโดยใจสมัครนั้น ก็สืบแต่เวทนาข้าพเจ้าเป็นประมาณ หากการเป็นจริงแล้วไหนเลยจะไม่รับเสียแต่ต้นเมื่อพระราชเทวีพบ แลพระราชเทวีก็เห็นอยู่ว่าข้าพเจ้าได้ผูกพันสมเด็จพระราชธิดาไว้มิให้ดิ้นรนแลร้องเรียกใครช่วยได้ ฉะนั้นความซึ่งตะละแม่กราบทูลนั้นเกิดแต่เวทนาข้าพเจ้าเป็นมูลดอก จึ่งหาเป็นถ้อยคำที่จะคู่ควรกับพระมหากษัตริย์อันประเสริฐจะเชื่อถือไม่ พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระจึ่งว่า มึงนี้เจรจาเกินตัวนักยังจะลวงจนกระทั่งกูเจียวหรือ แล้วพระเจ้าตองอูก็โบยจะเด็ดหนักขึ้น

 

มหาเถรกุโสดอ

          ฝ่ายมังตราพอละจากสหายตัวแล้ว ก็รีบรุดไปยังวัดกุโสดอบอกความทั้งปวงกับพระมหาเถรขัตติยาจารย์ แล้วกราบไหว้วิงวอนว่า ครั้งนี้ชีวิตของจะเด็ดย่อมอยู่ได้ด้วยความกรุณาของพระอาจารย์เป็นแท้ พระมหาเถรทราบแล้วมิได้นอนใจเพราะจะเด็ดเป็นศิษย์สุดรัก คว้าจีวรแล้วละล่ำละลักมาโดยด่วน มังตรากำลังร้อนใจ ฉุดหน้าดันหลังพระมหาเถรเป็นพัลวัน แล้วพระราชบุตรก็นำเจ้าอาวาสเข้ามาจนฝ่ายใจถึงตำหนักพระราชเทวี

            ครั้นพระเจ้ากรุงตองอูแจ้งว่าพระมหาเถรขัตติยาจารย์มา ก็วางมือจากจะเด็ดไว้ชั่วพักหนึ่ง นิมนต์นั่ง ณ ที่อันควรต้อนรับตามฐานะพระอาจารย์ พระมหาเถรนั้นทำทีประหนึ่งไม่ทราบการใด ๆ แล้วถามว่า มหาบพิตรกังวลด้วยกาลใดอยู่หรือ จึงดูประหนึ่งว่ามีเรื่องวุ่นพระทัยอยู่ พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระไม่แจ้งในกล ก็เล่าเความทั้งปวงให้ขรัวกุโสดอฟังสิ้น แล้วสำแดงข้อข้องในใจว่า จะฆ่าฟันมันเล่าก็เห็นแก่หน้านางเลาชีคนซื่อ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงหมายใจว่าจะเนรเทศมันให้พ้นตอาณาเขตตองอู พระคุณเจ้ายังจะเห็นประการใด พระมหาเถรหัวเราะแล้วว่า อาตมาเห็นว่ามนุษย์ผู้ข้องโดยโลกียวิสัยเป็นผู้งมเงอะทั้งที่ตนเกี่ยวพันอยู่เนือง ๆ ก็หาเล็งรู้เนื้อแท้ของความที่ตนเกี่ยวพันไม่ อันกรรมที่จะเด็ดก่อขึ้นครั้งนี้ แม้จะผิดร้ายก็เพียงเมื่อพิเคราะห์กันเผิน ๆ หากพิเคราะห์โดยถ่องแท้แล้วจะว่าเป็นความผิดชั้นอุกฤษฏ์โทษนั้นมิเห็นสม พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระติดใจความที่พระมหาเถรกล่าว ก็ถามสืบไปมา พระคุณเจ้าเห็นข้าพเจ้าหย่อนความรู้ในทางโลกด้วยประการใด

            พระมหาปรีชาญาณจึ่งแสดงอรรถาธิบายว่า อันลักษณะความรักนั้น ย่อมเป็นเครื่องทำลายแลเครื่องอุ้มชูโลก แลประการนี้ จึงย่อมมีคุณแลโทษแกมกัน อันศิลปะศาสตร์ใด ๆ ที่ข้าพเจ้าได้ถ่ายเทแก่มาหบพิตรนั้นจะได้อบรมให้มหาบพิตรกล้าเสมอในคราวที่ความเสน่หาสอนก็หามิได้ โดยเหตุนี้เมื่อผู้ใดข้องอยู่ในเรื่องรัก ผู้นั้นย่อมเป็นได้ทั้งมหาโจรแลมหาเถร มันย่อมเบนใจผู้นั้นให้เป็นเพชฌฆาต เป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณ หรือว่าจะเป็นพระแลเทพบุตรก็ได้ทั้งสิ้น ดังนี้พระองค์จะปรับโทษเอากับจะเด็ดกระไรนักหนา พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระจึ่งว่า แม้นว่าข้าพเจ้าถือตามพระคุณเจ้าว่าแล้วมิใช่แต่ในขอบเขตบริเวณวังข้าพเจ้าเท่านั้นที่ปั่นป่วน อาณาเขตทั้งปวงก็จะเลื่อนเปื้อนด้วย โดยเมื่อผู้ใดล่วงกรรมอันชั่ว ซึ่งเกิดแต่รักแล้วเราก็อภัยมันเสีย พระคุณเจ้าว่าดั่งนี้เหมือนจะคิดว่าคนทั้งปวงละฆราวาสวิสัยเสียสิ้นแล้ว แลพึงยึดเอาผ้าซึ่งย้อมด้วยน้ำฝาดเยี่ยงพระคุณเจ้าขึ้นมาครอง อภัยเสียเถิด ข้าพเจ้าจะเห็นถ้อยคำพระคุณเจ้ามิได้ก่อน เพราะข้าพเจ้ายังรักจะปกครองฆราวาสด้วยอาชญาอันควรจะปกครองฆราวาสอยู่ ฉะนั้นพระคุณเจ้าอย่าทัดทานข้าพเจ้าในเรื่องจะเด็ดเลย

            พระมหาเถรล่วงรู้อารมณ์ของพระเจ้าตองอูว่า แม้นยอให้จัดแล้วจะว่าเอาสิ่งใดก็ไม่เกินกำลัง จึ่งแสร้งกล่าวให้สบอัธยาศัยว่า หากจะถือเอาการปกครองทางฆราวาสเป็นกำหนดโทษแล้ว ซึ่งมหาบพิตรลงทัณฑ์จะเด็ดเพียงเนรเทศนั้น อาตมายังเห็นเพลาอยู่เสียซ้ำ ยากจะหาความกรุณาในใครอื่นมาเสมอด้วยแล้ว แต่ถ้ามารำลึกกันถึงความเป็นไปของสัตว์ผู้ข้องอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ก็น่าอภัยแก่มันผู้รุ่นทรามคะนอง ยังจะปรับเอาความผิดอันเกิดแต่จิตใจมันเฉพาะมิได้ก่อน พึงปรับเอาว่าเป็นความผิดของกิเลสอันเกิดแต่สัตว์ทั้งหลายผู้ยังไม่พึงพอใจจะดับมันเสียด้วยการปลงใจเป็นสงฆ์ แม้นมหาบพิตรได้รำลึกด้วยปรีชาญาณ ตรองการทั้งหลายระหว่างพระราชธิดากับจะเด็ดผู้บังอาจแล้ว จะหยั่งเห็นว่าความอุกอาจของจะเด็ดได้เกิดแต่ความเป็นอยู่ของปุถุชนสอนมันที่ละน้อยทีละน้อย แลด้วยความเอนอิงด้วยเชิงเสน่หานั้น แม้นเกาะกับผู้ใดมันยังจะคิดหรือว่าเจ้าว่าไพร่ หรือผัวเมียใคร สัตว์ทั้งหลายย่อมหมายมั่นเอาแต่สิ่งที่ใจมันปรารถนาให้จงได้ อาตมว่าถวายแต่เพียงนี้ มหาบพิตรก็เป็นใหญ่แก่คนทั้งหลายในเมืองตองอู ทั้งฝ่ายราชอาณาจักรแลพุทธอาณาจักร จงตรองให้กว้างออกไปโดยพระปรีชาเถิด พระเจ้าตองอูฟังพระขัตติยาจารย์อุปมาการถวายก็อ่อนพระทัยลง เห็นคล้อยตามพระมหาเถรก็ไม่น้อย แต่ส่วนที่ยังรู้สึกว่ามองจะเด็ดคราวใดเหมือนมีผงเข้าตาแปลบ ๆ อยู่ก็ไม่น้อยเหมือนกัน แล้วพระเจ้ามหาสิริชัยะสุระก็อึ้งอยู่

            เจ้าอารามกุโสดอประจักษ์ในทีว่าเป็นต่อ จึ่งว่าสืบไปว่า อันน้ำใจอาตมานั้น แม้จะสละแล้วซึ่งความเมืองแลสงครามตามวิสัยผู้ครองผ้ากาสาวพัสก์ ก็ยังลำเอียงอยู่อยากที่จะให้กรุงตองอูรุ่งเรืองประหนึ่งเหมือนแก้ว แลเมือ่พระองค์ขึ้นเถลิงราชสมบัตินั้นก็แจ้งในความภักดีของอาตมาภาพอยู่ ครั้นบัดนี้อาตมาเล่าชราลง ประหนึ่งว่าพฤกษาไดเกิดแล้วซึ่งโพรงที่โคนต้น นับวันจะผุเป็นโพรงใหญ่ฟ่อนขึ้นทุกวัน ลมกล้าเมื่อใดก็จะหักสะบั้นสูญสิ้นชื่อลงไปเมื่อนั้น ฉะนั้นอาตมาจึ่งเสาะแสวงอยู่ที่จะได้ใครสักคนหนึ่งไว้เจ็บร้อนด้วยเมืองตองอู แลสนองคุณมหาบพิตรแทนตัว ขณะนี้ในบรรดาบุตรขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงอันศึกษาศิลปศาสตร์อยู่ในสำนักกุโสดอก็แลเห็นพระราชบุตรกับจะเด็ดสองคนเป็นที่เด่น จะส่งเสริมกฤษฎาภินิหารของพระเจ้าอยู่หัวให้รุ่งเรืองไป ณ กาลเบื้องหน้าได้ พระราชบุตรนั้นก็สืบสายสันตติวงศ์อยู่แล้ว แลจะเด็ดก็จะเป็นคชาธารตัวกล้าซึ่งมังตราจะได้ขับขี่ไปเบื้องหน้า กระนั้นวิชาการใดที่อาตมาเคยถ่ายเทถวายแก่มหาบพิตร ณ กาลโน้น ณ บัดนี้วิชาการนั้นมังตราแลจะเด็ดก็ได้รับการถ่ายทอดจากอาตมาด้วย จึ่งพิจารณาจะเด็ดแล้วมันเหมือนลูกช้างผู้เผือกอันฝึกมันไว้สำหรับขึ้นระวางเป็นคชาธาร แม้นมหาบพิตรจะขับไปเสียเล่า วิสัยคชสารอันต้องลักษณะนั้นควรหรือจะระหกระเหินอยู่ในป่าไปจนตาย หน้าที่ตกไปอยู่เมืองใดพอเติบกล้าขึ้นก็จะเป็นกำลังแก่บ้านเมืองนั้นเป็นแท้ อาตมาจึ่งเสียดายกำลังที่ฝึกปรือมันมาเป็นที่สุด ตกว่าแม้นจะตายเสียในแผ่นดินตองอูขณะนี้ ความเสียดายยังจะน้อยเสียกว่า แต่เมื่อโทษตายมหาบพิตรก็ไม่ประสงค์จะเอาแก่มัน ส่วนโทษเนรเทศนั้นก็เสียประโยชน์ดังได้แจ้งไว้แล้ว ฉะนั้นอาตมาก็จะขอพักโทษเนรเทศมันไว้ และคิดอ่านปรับผิดมันสถานอื่น

            พระเจ้าตองอูได้ฟังชี้แจงความโดยละเอียดก็มีใจเลื่อมใสคลายโกรธลง และพระองค์ก็แจ้งอยู่ว่า ซึ่งคนทั้งปวงสรรเสริญพระราชบุตรว่ามีความรู้เฉียบแหลมสมตำแหน่งรัชทายาทนั้นก็ยังเป็นรองจะเด็ดอยู่ในเชิงศิลปวิชาการ ครั้นถูกท้วงดังนี้พระทัยก็เอนเอียงไปกับถ้อยคำของพระมหาเถร จึ่งตรัสว่า พระคุณเจ้าว่าชอบแล้ว ข้าพเจ้านี้มีใจรักคนที่มีสติปัญญา แต่นี้เป็นการละเมิดมณเฑียรวัง แม้มิลงทัณฑ์กับมันเล่า ก็ดูประหนึ่งจะนิ่งดูรอยอากูลอันแปดเปื่อนทวารวังโดยไม่พักชำระ เมื่อพระคุณเจ้าขอทุเลาการเนเทศมันแล้ว ยังเห็นควรจะปรับโทษเอาแก่มันสถานใด

            พระขัตติยาจารย์จึ่งว่า อันความรู้จะเด็ดนั้นก็ดีอยู่ อาตมาคิดจะลงโทษมันโดยขับออกไปเป็นพนักงานผู้น้อยจะได้ทั้งทรมานแลได้ทั้งกำลังของจะเด็ดด้วย แลเป็นช่องให้มันถ่ายโทษได้โดยทำดีขึ้นมาทีละน้อย ๆ จะเด็ดจะเขยิบตัวมันได้ต่อเมื่อทำประโยชน์แก่ราชการ ทั้งเพลาสนธยาก็ให้สำนักด้วยอาตมา อย่ามาให้สำนักด้วยมารดามันดังแต่ก่อนเป็นอันขาด ดั่งนี้ผลก็จะผลิทั้งสองข้าง มหาบพิตรยังจะเห็นชอบกับคำอาตมาด้วยหรือไฉน แลเจ้าคณะกุโสดอนั้นชำนาญทางฤกษ์ยาม ประมาณกาลภายหน้ามักเที่ยง จึ่งทูลกับพระเจ้าสิริชัยะสุระเป็นนัยว่า อนึ่งตะละแม่จันทราพระราชธิดานั้นเล่า เมื่อเรื่องมันลาวงไปแล้วก็หาควรลงทัณฑ์ใด ๆ แก่นางไม่ ธรรมดาลูกหญิงเป็นของหวง แต่ถึงจะหวงห้ามประการใด วันหนึ่งนางก็ต้องไปสู่คู่ของนางตามบุพเพสันนิวาสเป็นแท้ แม้นมหาบพิตรยังจะมาผูกพระทัยด้วยเรื่องเล็กน้อยก็จะเปลืองอารมณ์แลการแผ่นดิน พระเจ้าตองอูก็รับเอา แล้วละทัณฑกรรมแก่จะเด็ดถวายพระมหาเถรตามขอ และตรัสให้จะเด็ดไปรับหน้าที่ราชการเป็นเจ้าพนักงานผู้น้อยอยู่ในกรมวัง

            ครั้นมหาเถรพาจะเด็ดมาถึงวัดแล้ว ก็ประคบประหงมรอยที่ถูกโบยด้วยใจการุณ ซ้ำปลอบด้วยใจอารีว่า อันวิสัยชายชาตินั้นแม้จะรุ่งเรืองสติปัญญาประการใด ถ้าหากยังอยู่ในความดูแลของแม่พ่อญาติสนิทแล้วก็ยากจะประมาณว่าราคาของตัวจะสูงต่ำสถานใดได้ถูก ครั้งนี้เจ้าหลุดออกมาจากอกของผู้ใหญ่ ครองตัวคะเนผิดชอบด้วยตนก็จัดเป็นกำไรดีอันหนึ่งซึ่งจะได้ฝึกราชการทั้งปวงแต่อายุยังเยาว์ อันดวงชาตาเจ้านั้นเบื้องหน้าจะได้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวงในพุกามประเทศ แลหวังปลอบศิษย์รักให้มานะกล้า เจ้าอาวาสวัดกุโสดอจึงกล่าวความหลังของจะเด็ดเมื่อยังน้อยให้ฟังว่า ณ บ้านงะสะยอกอยู่ยังกรุงพุกามโพ้น ยังมีผัวเมียคู่หนึ่งเป็นชาวพม่า เจ้าผัวนั้นชื่อสิงคะสุร์ จะคิดอ่านการอาชีพทั้งปวงก็ขัดด้วยทุนรอน จึ่งอาศัยแรงตัวเป็นเครื่องหากินป่ายปีนเที่ยวปาดงวงตาลรองน้ำตาลสดมาขาย

            แลวันหนึ่งผัวเมียคู่นั้นออกประกอบอาชีพเช่นเคย เจ้าผัวขึ้นต้นหนึ่ง นางเมียขึ้นต้นหนึ่ง ละลูกน้อยไว้กลางดินใกล้บริเวณนั้น มีงูใหญ่ประมาณลำต้นหมากเลื้อยมาแล้วก็ขดเป็นวงอยู่รอบตัวทารก แลทารกนั้นก็มิได้สะดุ้งสะเทือนประการใด คงนั่งเป็นปกติอยู่ ต่อนางเมียมาพบก็ตกใจเร่งไปตามสิงคะสุร์ผู้ผัว ครั้นสิงคะสุร์ผู้ผัวมาก็ไม่อาจทำการดีกว่าเมีย ด้วยไม่เคยประจักษ์ว่ามีงูขนาดใหญ่เสมอด้วยตัวที่ขดอยู่รอบบุตรตน ตะลึงอยู่จนสัตว์ร้ายนั้นเลื้อยลับไปเอง สิงคะสุร์เห็นอัศจรรย์นัก จึงอุ้มบุตรน้อยไปหาพระราชาคณะแขวงงะสะยอกอันเป็นโหร บอกความยากจนของตัวแลพรรณนาถถึงเรื่องราวของทารก แล้วกราบไหว้ขอให้พระราชาคณะพยากรณ์ชาตาทารกว่าจะร้ายดีประการไฉน พระราชาคณะพิจารณาลักษณะแลขับดวงชาตาทารกแล้ว ก็อุ้มทารกขึ้นเหนือตัก แลเปล่งเสียงร้องด้วยโสมนัสว่า อายุของเราจะมิได้ชมบุญพระเจ้ามหาราชแห่งพุกามประเทศเมื่อใหญ่ ก็ขออุ้มให้เต็มมือเสียตั้งแต่น้อยนี้เถิด แล้วพระราชาคณะแขวงงะสะยอกจึ่งบอกกับสิงคะสุร์ว่า จงพาบุตรตัวตรงไปเมืองตองอูซึ่งพระเจ้าเมงกะยินโยประดิษฐานขัตติยวง์โน้นเถิด บุตรตัวจะได้เป็นใหญ่ มีบุญด้วยดวงชาตาแรงนัก ถ้าอยากได้ประโยชน์โดยพึ่งบุญบุตรตนแล้วไซร้ ต้องไปสู่ปฏิรูปประเทศตามมงคลสูตรซึ่งเราแจ้งนี้ เราจะฝากให้อาศัยอยู่กับเพื่อนเรา ณ วัดกุโสดอ แล้วเจ้าคณะแขวงงะสะยอกก็จดหมายแจ้งการทั้งปวงฝากสิงคะสุร์แลภรรยากับบุตรคือตัวเจ้าให้อยู่ในวัดกุโสดอกับเราสืบมา

            จะเด็ดฟังมหาเถรเล่าดั่งนั้นก็หลากใจ กราบลงแล้วว่า พระอาจารย์จะปลุกให้ข้าพเจ้าปลื้มด้วยนิมิตแลลาง บุญคุณของพระคุณท่านซึ่งซุบเลี้ยงข้าพเจ้ามาแต่น้อยแลเพียรเสี้ยมให้ข้าพเจ้ารอบรู้วิทยาการทั้งสิ้นนั้น ตายแล้วเกิดเล่าสักสิบชาติก็ไม่อาจสนองคุณคุ้มได้ แต่ซึ่งพระราชาคณะงะสะยอกประมาณชาตาข้าพเจ้าไว้นั้นเกินวาสนานั้น จะพึงยึดเป็นจริงกระไรได้ พระมหาเถรทาไพลพลางก็เล่าสืบไปอีกว่า ข้อนี้เราก็สงสัยอยู่ ครั้นสอบดูแล้วก็มิได้เพี้ยนไปจากที่เพื่อนเราว่า ฉะนั้นเราจึ่งบำรุงเจ้ายิ่งกว่าศิษย์อื่น ปรารถนาจะให้เจ้ารู้คุณสาวกของพระพุทธเจ้าแลฟื้นพระบวรพุทธศาสนาให้เฟื่องฟูขึ้นในกาลต่อไป แลไหน ๆ เราก็เล่าแล้วก็จะบอกความทั้งหมดที่เจ้าได้วาสนาร่วมนมกับมังตราราชบุตร แล้วท่านสมภารจึ่งเล่าต่อไปว่า ความเดิมนั้น วันหนึ่งฝนตกหนักทำนบกั้นสระน้ำทางพระราชวังด้านใต้พังลง พระเจ้ามหาสิรชัยะสุระเสด็จไปดูการกั้นทำนบนั้น ทอดพระเนตรเห็นบุตรีงะนวยกงนายงานทำทำนบมีสิริโฉมเป็นที่ต้องใจ พระเจ้าอยู่หัวจึ่งรับสั่งให้งะนวยงกส่งบุตรีเข้ามาเป็นบาทบริจาริกาแล้วนางได้ประสูติมังตรา พระเจ้าอยู่หัวจึ่งโปรดให้นางมียศเป็นพระราชเทวี แลเพื่อประคองมิให้พระโฉมมเหสีสุดสวาสดิ์ทรุดโทรมลงด้วยการกังวลราชบุตร จึ่งตรัสให้ขุนวังนำความมาปรึกษาแม่นมที่ล่ำสันแข็งแรงปราศจากโรคภัย ครั้นขุนวังนำความมาปรึกษาเรา เราจึ่งส่งนางเลาชีมารดาเจ้าขึ้นถวาย เมื่อแพทย์หลวงตรวจเห็นชอบ พระราชเทวีก็โปรดให้รับนางไว้เป็นพระนม และมอบตะละแม่จันทราอันพระชนนีพึ่งถึงแก่พิราลัยให้พระนมเป็นผู้อารักษ์ด้วย ประการฉะนี้เจ้าจึ่งมีศักดิ์สูงขึ้นโดยพิสดาร จะเด็ดรับทราบแล้วก็ยิ่งเคารพในอาจารย์มากขึ้น

            แล้วพระมหาเถรก็ว่ากับจะเด็ดว่า ซึ่งเราเล่าความทั้งปวงให้รู้ดั่งนี้ ก็เพราะหมายใจจะได้เป็นเครื่องซ้ำเติมวิริยะเจ้าให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น มิใช่บอกเพื่อให้หยิ่งแลทะนงตัว อนึ่งนั้น เราได้อยู่ในแผ่นดินท่านก็จะซื่อตรงต่อแผ่นดินจนตัวตาย แลวิสัยผู้หาความมงคลใส่ตัวย่อมต้องอาศัยซื่อแลกตัญญูรู้คุณผู้มีพระคุณเป็นปัจจัย ตามดวงชาตาเจ้ากาลก่อนต่อไปย่อมเป็นใหญ่เสมอด้วยมังตรา เราจึ่งวิตกว่า แม้นเจ้าเคลิ้มในอำนาจราชศักดิ์เพลาใด เพลานั้นประทุษจิตก็จะหนุนให้ทรยศต่อราชบุตรของเมงกะโยขึ้น ฉะนั้นเราจะบังคับให้เจ้าถวายสัตย์แก่พระประธานในวิหารกุโสดอนี้ว่า เบื้องหน้าอำนาจวาสนาเจ้าจะรุ่งโรจน์ประการใดก็ดี จะไม่คิดการแย่งเศวตฉัตรจากมังตราเป็นอันขาด จะเด็ดก็บ่ายหน้าไปทางวิหารถวายสัตย์ต่อพระประธานดังคำอาจารย์ว่า ต่อจากนั้นมาพระมหาเถรก็มีใจเอ็นดูจะเด็ด สรรพวิชาการลับลี้ลึกซึ้งที่มีอยู่ก็พร่ำสอนให้จะเด็สิ้น

 

ความรักครั้งแรก

            ฝ่ายจะเด็ดนั้น เสมอได้พบหน้าพระราชธิดา ๑๐ วันต่อครั้งหนึ่งก็เหมือนเหลือชีวิตเพียงครึ่งเดียว ซ้ำถูกขับออกมาอยู่บริเวณวังนอกดั่งนี้อีกด้วยก็ทุกข์ระทมหนัก วันต้น ๆ ยังมีใจเกรงพระราชอาญาสู้อดกลั้นความคิดถึงไว้ในอก แต่นานวันไปจะดูสิ่งใดพาใจกังวลผูกพันถึงนางผู้นั้นสิ้น ราตรีหนึ่งในยามชุณหปักษ์ จะเด็ดปรนนิบัติพระมหาเถรจนหลับ แล้วออกมานั่งกลางชานกุฏิเห็นแสงเดือนแล้วดวงจิตเศร้าเป็นกำลัง ยิ่งพิศละม้ายไปข้างหน้าตะละแม่จันทรา รำพึงความหลังครั้งอยู่ร่วมเรือนเดียวกันแล้วก็ใจหาย คืนนั้นทั้งคืนจะเด็ดกระสับกระส่ายมิได้เป็นอันจะหลับนอนได้ ต่อใกล้ปัจจุสมัยแล้วจึ่งตัดสินใจว่า ตายร้ายตายดีอย่างไรในคืนพรุ่งนี้จะซุ่มเข้าไปให้ถึงตัวตะละแม่จันทราให้จงได้ จะเด็ดตรองอุบายตลอด แล้วรุ่งขึ้นเข้าวังก็มองดูลู่ทางของตนหมายตาไว้ ค่ำวันนั้นจึ่งแสร้งเท็จแก่พระอาจารย์ว่า วันนี้ข้าพเจ้าตะครั่นตะครอปิ่มว่าจะเป็นไข้ ไม่อาจปรนนิบัติให้พระอาจารย์เต็มกำลัง พระมหาเถรก็ให้จะเด็ดเข้านอนเสียแต่หัวค่ำ

            แล้วจะเด็ดปิดประตูลงกลอนประพรมเครื่องหอมอันเพียบด้วยอาคม ไหวพระรำลึกถึงคุณบิดามารดาแลอาจารย์ อธิษฐานขอความสวัสดีมีชัยแล้ว ก็ลอบออกทางหน้าต่างกุฎี แลผ่านทวารวังชั้นนอกได้โดยสะดวก รีบรุดไปยังท้ายวังถึงสระกว้างอันเป็นที่สาวเหล่านางกำนัลในลงอาบน้ำ แล้วซ่อนเร้นใต้เงาไม้ริมสระ เปลื้องเครื่องแต่งกายทั้งสิ้นออกถือได้สูงเกินศีรษะลงน้ำลอบลอยคอไปตราบจนลุข้ามฝั่งอีกด้านหนึ่งได้ จัดแต่งกายนุ่งห่มเป็นอันดีแล้วซุ่มคอยทีรอเวลาให้ดึกสงัด ครั้นปลอดคนแล้วก็แฝงกายเข้าไปจนใกล้ตำหนักพระราชเทวี

            เดิมจะเด็ดเคยเข้าออกทางฝ่ายในเนือง ๆ จึงรู้ว่าห้องใดเป็นที่ใครอยู่ ครั้นสำเหนียกเอาเสียงว่า คนทั้งปวงบนตำหนักพระราชเทวีหลับสิ้นแล้ว ก็โหนกายป่ายปีนตามรอยสลักขึ้นไปจนถึงห้องตะละแม่จันทรา แสงอัจกลับยังตามสว่างอยู่เรือง ๆ จะเด็ดย่องย่างด้วยปลายเท้ามาจนถึงหน้าพระแท่นที่พระราชธิดาบรรทม แล้วหยุดยั้งคุกเข่าลงพินิจสิริรูปขัตติยนารีศรีเมืองตองอู จดจ้องจะถูกตัวเล่าริมฝีปากซึ่งเผยอเหมือนจะยิ้มทั้งกำลังหลับนั้น ยั้งใจให้เสียดายไม่อาจต้องตัวให้นางตื่น จะเด็ดพิจารณาความงามอันต้องตามลักษณะกัลยาณีของตะละแม่ไปทีละอย่าง หัวใจเหิมโหมแรงร้อนอยู่ด้วยเพลงพิศวาส

            หน้านางเหมือนเดือนเมื่อวันเต็มดวงแลถูกห้อมด้วยเมฆดำในคืนวสันตฤดู คือผมเหมือนคันธนูน้อยที่ถูกโก่งสายเต็มแล้อยู่เหนือตาทั้งสองคิ้ว อันแก้มนางนั้นเล่า เหมือนกระพุ้งพุ่มของหลวงอันพิมพ์ด้วยขี้ผึ้งสีนวลถวายไว้หน้าพระพุทธรูปในอุโบสถกุโสดอ จะเด็ดพิศแล้วมิอาจกลั้นรักจึ่งจูบลงตรงกระพุ้มแก้มนั้น แล้วปลุกนางแต่เบา ๆ ว่าจันทราเอย เชิญน้องท่านตื่นเถิด จะเด็ดคนซื่อไดมาอยู่แทบเท้าแม่แล้ว พระราชธิดาแว่วเสียงลืมตาตื่น เห็นจะเด็ดยังแคลงใจอยู่ว่าฝัน จึงสรวมกอดเอาไว้แล้วรำพันความในใจ เมื่อครู่ต่อได้สติแล้วเกิดประหม่ากลัวเป็นกำลัง ใจหนึ่งตื่นสะดุ้งดังมีมฤคที่รู้ตัวว่ายืนในแนวหน้าไม้ ใจหนึ่งนั้นเหมือนฟื้นจากฝันว่าได้แก้วก็พบแก้วดังฝัน อึกอักไม่อาจกล่าวความใดได้

            จะเด็ดจูบแล้วพ้อด้วยคารมว่า ซึ่งข้าพเจ้าลอบเข้ามาจนถึงตัวท่าน ก็หมายใจจะอาบน้ำรักจากคนรักของตัวให้ชุ่มชื่น ปลดเปลื้องความทุกข์ที่ถมใจอยู่ ถ้าได้รู้อยู่ก่อนว่าพบไม่ปรารถนาทักฉะนี้ ก็จะยอมตายอยู่ที่วัดกุโสดอโน้น หาทะเยอทะยานเข้ามาถึงนี่ให้ความช้ำใจทวีขึ้นอีกไม่แล้ว เมือ่ได้ประจักษ์น้องเราเลือนเราประหนึ่งว่าคนเพิ่งเคยรู้จักกระนี้แล้ว ก็จำเป็นข้าพเจ้าจะขอลาไป ตะละแม่จันทราได้สติยุดตัวจะเด็ดไว้แลว่า ไหนท่านจึ่งเจรจาเอาแต่ได้ หน้าท่านนั้นข้าพเจ้าพบเมื่อใดที่ใดก็ตื้นตันใจไปทุกเมื่อทุกที ครั้นมาได้พบในที่ที่ไม่คิดว่าจะพบ ความดีใจเปรียบด้วยตายแล้วเกิดใหม่ ฉะนั้นซึ่งท่านเล็ดลอดเข้ามานี้หากว่ามาโดยความอาลัย ข้าพเจ้าก็ขอเทิดคุณท่านเหนือหัว แต่ถ้าท่านมาให้เห็นนิดหนึ่งแล้วกลับเสียเพื่อโลมเล่นโดยคะนอง ข้าพเจ้าก็จะถือตามคำที่ท่านพูด คือจะยอมให้ความคิดถึงทรมานตายอยู่ในที่นี้ เช่นนั้นเมื่อท่านรักข้าพเจ้าน้อยได้โลมลูบจูบชมทั้งที่หลับสมใจท่านแล้ว จะรีบกลับก็สุดแต่อารมณ์ท่านเถิด ซึ่งจะอ้อนวอนให้ท่านอยู่นั้นน้อยใจอ้าปากวอนมิได้แล้ว จะเด็ดแจ้งว่านางพ้อด้วยใจงอน ก็กลับปลอบแลประโลมว่า ซึ่งจะจากจันทราไปโดยถูกโกรธนั้น วัดกุโสดอนั่นแล้วเรือนตาย อันน้ำใจจะเด็ดนั้นก่อนนี้ไม่เคยพรั่นพรึงกับความตาย ต่อเมื่อได้ทอดตัวลงเป็นข้าของพระราชธิดานี่สิ หวาดหวั่นพรั่นพรึงเสียต่อความตายเป็นที่สุดแล้ว ตะละแม่จันทราผลักจะเด็ดออกไปพอเป็นที่แล้วพูดสวนขึ้นว่า เมื่อข้าพเจ้าสอนให้ท่านขลาดถึงปานนี้จะยังทอดตัวมาเป็นข้าข้าพเจ้าด้วยเหตุผลกลใด จะเด็ดก็แก้เอาด้วยสำนวนว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตถึงสองซึ่งพรั่นพรึงต่อความตายนั้นมิได้อาลัยถึงชีวิตตัวเป็นข้อใหญ่ ทุกข์หนักอยู่ที่ว่าชีวิตข้าพเจ้าดับสูญไปแล้วเป็นห่วงจันทราจะเสียใจตายตามข้าพเจ้าไม่ทันข้ามวัน แม้นน้องท่านประมาณใจจะเด็ดที่รักท่านถูกเหมือนอย่าจะเด็ดประมาณใจที่ท่านรักจะเด็ดถูกแล้ว ก็หน้าที่จันทราจะรักข้าพเจ้าเกินกว่าที่รักอยู่บัดนี้หลายเท่าตัว ตะละแม่จันทราฟังจะเด็ดยอโดยอ้อมก็อิ่มใจ ละความงอนที่ปั้นปึ่งเมื่อหัวที่เสียสิ้น เกลือกหน้าลงกับอกจะเด็ดแล้วร่ำวอนโดยใจเสน่ห์ว่า วานอย่าป้อนคำหวานแก่น้องท่านให้หนักนัก จันทรากำลังน้อยเกรงทานมิได้จะเป็นลม จะเด็ดจึ่งว่า ข้อนี้อย่าฟังคำเอาคำโบราณมาเป็นอารมณ์เลย อันน้ำใจข้าพเจ้าแม้จะหวานกับนางก็หวานเหมือชะเอม ย่อมมีรสบำรุงบำเรอผู้ที่กำลังน้อยอย่างธิดาพระเจ้าตองอู จะให้โทษแก่ผู้เสพสักน้อยหนึ่งก็หาไม่ แล้วจะเด็ดก็ดึงนางลุกขึ้นจากพระที่ จูงมือมาหยุดยืนตรงริมบัญชร ประคองร่างตะละแม่ออกมาให้ถูกแสงเดือน แล้วว่า อันหน้างามแล้วแฝงเศร้าอย่างหน้าจันทรานี้ต้องใจข้าพเจ้านัก แลน้องเราแม้จะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ก็ใหญ่แต่เพียงกำเนิด คงจะไม่มีกำลังจะอุ้มชูตัวข้าพเจ้าให้รุ่งเรืองได้ แต่กระนั้นก็วางใจว่าจะอุ้มชูน้ำรักและน้ำใจข้าพเจ้าให้รุ่งเรืองไปเป็นอันดี ข้อนี้วานท่านกล่าวสัตย์แก่ข้าพเจ้าสักหน่อยเถิด จะได้ชื่นใจเป็นทุนไว้ประกอบการใหญ่สืบไปเบื้องหน้า ตะละแม่จันทราตอบว่า ความซื่อของข้าพเจ้านั้นไม่รู้จะประมาณเอาสิ่งใดมาเปรียบได้ ข้อนี้ขอพี่ท่านจงวางใจ ว่าแต่ท่านเถิด ลิ้นลมคมคายดั่งนี้เกรงว่าจะซื่อต่อข้าพเจ้าก็แต่เมื่ออยู่ต่อหน้า ท่วงทีท่าลำพองเสมือนม้าศึก แม้จะหลวมตัวมาถึงนี้ ข้าพเจ้าก็ยังหวาดว่าท่านจะมิได้มีแต่ใจเดียว จะเด็ดตอบว่าซึ่งนางจะลงเอาข้าพเจ้าเป็นคนหลายใจนั้นหาถูกก่อนไม่ หรือแม้จะเรียกว่าเป็นคนใจเดียวก็ยังผิดอยู่อีก เพราะโดยเนื้อแท้ข้าพเจ้ามีหัวใจอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง แลน้องเราก็มีทัดเทียมกัน ตราบเท่าเมื่อใดเราได้เสียเป้นเมียผัว เมื่อนั้นครึ่งกับครึ่งมารวมกันเข้าจึ่งจะนับเป็นใจเดียวได้ เราสองคนนั้นจริงแล้ว แต่จันทราเอย ประหลาดนักที่สองคนแต่มีเพียงใจเดียว คือใจที่รักแลซื่อตรงต่อกันจนวันตาย ข้าพเจ้าเป็นคนน้อยทรัพย์ แต่ก็ถืออยู่ว่าตัวมากความซื่อ ครั้นบัดนี้มอบความซื่อให้สิ้นแล้ว ควีหรือน้องเรายังจะเก็บเอาเรื่องมิควรมาแคลงใจ

            แลจะเด็ดกำลังหนุ่ม ครั้นได้ใกล้ชิดตะละแม่จันทราในยามดึกสงัด พักตร์พระราชธิดาต้องแสงจันทร์ผ่อง ก็ก่อความทะยานใจให้เกิดยิ่งกว่าทุกที จึ่งแสร้งกล่าวเป็นกลว่า ซึ่งเรายืนประเจิดประเจ้อเสมอด้วยคู่อุปภิเษกดั่งนี้ แม้นใครปะแลรู้ถึงพระราชเทวีแล้วหน้าที่จะยับลงทั้งคู่เป็นแท้ ฉะนั้นน้องเราอย่าถือประเพณีเชิญขึ้นพระที่เสียเถิด ตะละแม่จันทราไม่ยั้งคิดคาดว่าจะเด็ดจะแนะนำโดยจริง ก็พาซื่อปล่อยให้จะเด็ดอุ้มตัวไป

            ครั้นวางลงเหนือยี่ภู่แล้ว จะเด็ดไม่ผละกลับรัดแน่นเอาด้วยใจหนุ่ม ตะละแม่จันทราเห็นผิดสังเกตก็เอะใจ จึ่งว่าวันนี้ไหนท่วงทีพี่ท่านจึ่งประหลาดกว่าทุกครั้ง ซึ่งท่านรัดข้าพเจ้าไม่วางมือดั่งนี้ จงใจจะให้ผู้ถูกรัดสิ้นลมกระนั้นหรือ จะเด็ดแจ้งแก่นางว่าหาใช่เช่นนั้นดอก แต่ข้าพเจ้ามาคิดว่าได้เชยชิดจนสนิทเพียงนี้แล้วเรายังจะถนอมใจให้มีอยู่ฝ่ายละครึ่งหาควรไม่ ข้าพเจ้าหวังจะวอนน้องท่านให้เบนใจเอามารวมกันเสียให้เป็นใจเดียว ตะละแม่จันทราก็ตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง ดิ้นรนดันจะเด็ดออกไปห่างแล้วตอบด้วยสำเนียงสะอื้นว่า ซึ่งข้าพเจ้ายินดีด้วยท่านเข้ามาถึงที่นี่ ก็พลิกประเพณีเสมือนหนึ่งสตรีอันไร้ตระกูลอยู่แล้ว แต่ความผิดเพียงในข้อนี้โดยที่ใจรักท่านจึ่งคิดหักเสียว่า แม้จะได้ชื่อว่าชั่วก็ย่อมชั่วแต่เพียงตาหูมนุษย์ ส่วนเทพยดานั้นคงประจักษ์ความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าอยู่ ครั้นบัดนี้ท่านจะมาคิดการดั่งนี้ ก็เหมือนหนึ่งจะทอนคำข้าพเจ้าเสียสิ้น ขอท่านอย่าหาญหักเอาแต่ใจเลย ข้าพเจ้าละความอายมนุษย์เพื่อพี่ท่านแล้ว ส่วนความที่จะต้องอายผีสางเทวดานั้น พี่ท่านจงละให้ข้าพเจ้าเสียเถิด จะเด็ดมิฟังเฝ้าโน้มเหนี่ยวโดยยังลำพองใจ ตะละแม่จันทราแค้นนักจึ่งว่า เป็นกรรมที้ข้าสำคัญผิด เดิมทีก็คิดว่าจะเด็ดรักข้าพเจ้าโดยใจพระ สนิทสนมในเชิงอัธยาศัยต้องกันอันเป็นความรักเบื้องสูง มิได้หมายมั่นราคะจริตอันเป็นความรักเบื้องต่ำ จันทราจึ่งสู้ทอดตัวมาสวามิภักดิ์ ด้วยแม้นได้แจ้งว่าจะฉุดข้าพเจ้าลงฝ่ายต่ำดั่งนี้ แต่เดิมทีแล้ว ถึงรักจนใจจะขาดก็ไม่ปรารถนาจะสำแดงออกมาให้แจ้ง แล้วนางก็ดิ้นรนฟูมฟายอยู่ จะเด็ดฟังพระราชธิดาพูดด้วยปรีชาฉลาดก็ตันใจ ต่อเป็นครู่จึ่งกล่าวแก้ไปว่า ซึ่งน้องเราประมาทว่าข้าพเจ้ากำเริบด้วยจริตต่ำนั้นอย่ากล่าวเลย ขอเชิญพิเคราะห์ใจจะเด็ดแต่หนหลังเถิด หากข้าพเจ้าใฝ่ใจด้วยราคะจริตเป็นที่ตั้งแต่เดิมแล้ว เมื่อครั้นพำนักร่วมเรือนเดียวกันจันทราหรือจะรอดไปพ้นมือ ที่ยับยั้งชั่งใจครั้งกระโน้นก็โดยใจมิได้ใฝ่ต่ำนี่สิ และบัดนี้ห่างมานานครัน ความรักจันทราจึ่งท่วนท้นหัวอกข้าพเจ้า แต่จันทรารักเราน้อยจึ่งหวงตัวด้วยเล่ห์ ยกอายเทพดาขึ้นมาอ้าง ดูกระไรอยู่ หากว่าจะถึงการอับอายขายหน้า เราจะมัวกลัวเทพดาด้วยอันใด เพราะเทพยดานั้นเท่าที่รู้ย่อมโปรดความดีเป็นที่สุดแล้ว แลเรารักกันโดยใจซื่อดั่งนี้ก็จัดเป็นความดีขนาดที่สุดเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าเทพยดาโปรดความดีดั่งที่เรารู้อยู่ ถ้าเห็นอกคงจะสงสารเราทั้งคู่มานานหลายแล้ว ท่านคงทนดูข้าพเจ้าร่ำไห้คิดถึงจันทราน้อยไม่ไหวแน่ จึ่งดลใจให้ข้าพเจ้าอยากดึงจันทรามารวมเป็นใจเดียว ณ เพลานี้ แต่จะเด็ดจะอ้อนวอนประการใด พระราชธิดาก็มั่นใจอยู่มิโอนอ่อนผ่อนตาม จะเด็ดเห็นว่าจะเจรจาโดยดีไม่ได้แล้วก็แสร้งทำเป็นละตัวนางเสีย ยืนบึ้งอยู่ในทีโกรธประสงค์ให้พระราชธิดาเอาใจ จันทราน้อยไม่แจ้งแก่เล่ห์ ทางหนึ่งรักตัวมิอยากให้เสียรัก อีกทางหนึ่งกลัวจะเด็ดจะน้อยใจก็มีมาก มิรู้จะทำฉันใดวุ่นใจพะวักพะวนอยู่

            แล้วจะเด็ดแสร้งพ้อเป็นทีแค้นว่า อันเราไม่รูจักประมาณตน เป็นข้าแล้วเขย่งขึ้นมาเทียมไท ท่านหรือจะมาเอออวยอะไรด้วย จะคบหาสมาคมก็เพื่อสนุกเพียงชั่วคราวชั่วครู่ ครั้นเห็นจะจริงจังเมื่อใดก็ตีตนออกห่าง อันใจตะละแม่พระราชธิดาท่านนั้น อ่านออกง่ายเสียยิ่งกว่าอักขระขอม เกรงหรือว่าเป็นเมียเราแล้วจะมิได้นั่งเสลี่ยงหรือ ซึ่งได้ถูกต้องไปบ้างนั้นไว้โทษเถิดที่ทำให้มีราคีเพราะน้ำมือเรา ว่าแล้วจะเด็ดก็ทีจะปีนกลับ

            ตะละแม่จันทราคาดเป็นจริงตกใจ ก็ฉุดจะเด็ดไว้ไม่ยอมปล่อยมือ แลว่าน้ำใจหุนหันเอาเช่นนี้นี่หรือที่ว่าท่านรักข้าพเจ้า จันทราเพิ่งเคยขัดเพียงเท่านี้ก็จะตัดเสียคล่อง ๆ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ผ่อนตามท่านนั้นมิใช่จะหวงตัวไว้เพื่อใครอื่น ชาตินี้หากผิดจากจะเด็ดพี่ข้าพเจ้าแล้ว จันทราจะยอมตัวแก่ใครอื่นนั้นอย่าหมายเลย ที่ทัดทานไว้ก็หาใช่เพราะรักน้อย แต่ด้วยบัดสีใจเป็นกำลัง วิสัยหญิงเมื่อเสียตัวด้วยชายแล้วก็เหมือนตราตีประจำใจ หาใช่นกจับกิ่งไม้ผละบินไปแล้วจะได้สิ้นรอย ข้อนี้วานท่านคิดให้จงดีเถิด แต่ถูกกอดจูบลูบต้องเพียงเท่านี้ ลับหลังท่านทุกข์หนักอยู่แล้วเพราะผูกใจถึง ยังจะมัดข้าพเจ้าให้แน่นกว่านั้นอีกเล่า หากท่านเชือนข้าพเจ้าเสีย มิต้องโลดแล่นไปถึงอารามกุโสดอโน้นหรือ แม้นท่านเข้าออกนอกในลอบไปมาถึงได้คล่องก็ใคร่จะผ่อนปรนตาม แต่นี่กว่าจะลอดเข้ามาแต่ละทีช่างแสนเข็ญ ชะล่านักก็ไม่แจ้งว่าจะเกิดโทษขึ้วันใด เชิญพี่ท่านเห็นอกบ้างเอ็นดูเถิด อย่าผูกใจจันทราให้แน่นถึงขานดเลย จะเด็ดฟังได้คิดก็รู้ชอบ งดไว้หาได้ขืนใจนางเอาตามอารมณ์ตัว แล้วจะเด็ดแลนางก็ร่ำสนทนาพร่ำฝากอาลัยซึ่งกันอยู่จนเกือบรุ่ง

            เจ้าหนุ่มขยับแล้วเขยื้อนอีก จะจากราชดรุณีน้อยอกร้าวปิ่มว่าพิษธนูสร้าน คำลาสำลักอยู่แต่ในลำคอข่มใจแล้วยังมิอาจบอกได้ ละล้าละลังอยู่จนเบื้องตะวันออกแสงเงินผุดขึ้นมารำไร เพียงหักใจแล้วจึ่งตกปากลาตะละแม่จันทราอาลัยนัก กอดจะเด็ดไว้แล้วว่า ใจข้าพเจ้านั้นอยากจะซ่อนท่านไว้ในห้องนี้ แลพอค่ำลงจึ่งออกมาสนทนากันใหม่ แต่ขัดอยู่ด้วยวิตกว่าจะงำความไว้ไม่ตลอด ครั้นจะขอให้ท่านมาเยือนเนือง ๆ เล่า ก็ทุกข์ตรงทางที่ไปมา พลาดพลั้งแล้วก็เหมือนข้าพเจ้าเป็นผู้พล่าชีวิตท่า อนึ่งเราจะเหลิงวางใจนัก ทางได้ไม่เท่ากับที่เสียไป จะเด็ดก็กอดนางประโลมให้บรรเทาเศร้าแลว่า เมื่อน้องท่านจะหาความสุขด้วยการอยู่ใกล้ข้าพเจ้ามิได้แล้ว ก็จงเป็นสุขด้วยการที่ข้าพเจ้าได้มอบความซื่อไว้ในใต้เบือ้งบาททั้งสองแห่งน้องท่านเถิด แลถึงแม้เรจะยังไม่ได้เป็นเมียผัวร่วมใจเดียวกัน แต่จันทราจะรักจะเด็ดเช่นเดียวกับมอบตัวกับจะเด็ดแล้ว บัดนี้ก็จงนึกว่าจะเด็ดผัวนางไปสงคราม จะกลับมาก็ต่อเมื่อชนะศึก แม้นไม่ชนะชีวิตไม่พบความสำเร็จ เจ้าจะเด็ดก็จะตายอยู่ในความไม่สำเร็จนั้น จงคิดว่าการจากกันครั้งนี้เป็นหน้าที่ ฉะนั้นจันทราแม่อย่าเศร้าใจเลย ตะละแม่จันทราไม่สร่างไห้พิไรว่า ถ้าคิดถึงดังท่านว่า คงช่วยข้าพเจ้าสงบไปเพียงชั่วแล่น ครั้นแล้วก็จะริ้อเอาท่านมาคำนึงอีก ข้าพเจ้ามิใช่เป็นคนมิมีจิตใจ พี่ท่านรัดเฟ้นจนทั่วกระนี้แล้วจึ่งจะหักใจลืมเสียง่าย ๆ อีกประการหนึ่ง จันทราเป็นหญิง จะทะเยอทะยานประก่รใดก็ไม่ถนัด ได้แต่คอยว่าวันใดพี่ท่านจะทำตัวให้รุ่งเรือง ก็จะพลอยสุขเพราะอาศัยบารมีด้วย กระนั้นขอพี่ท่านถนอมตัวจงหนัก ให้เหมือนถ้อยคำที่พูดไว้ว่าท่านนั้นกังวลในชีวิตข้าพเจ้า แม้นท่านต่ำต้อยความดีลงวันใด วันนั้นก็คล้ายชีวิตท่านสิ้นแล้ว เราจะวันเป็นผัวเมียบำรุงใจซึ่งกันมิได้ และชีวิตข้าพเจ้าก็จะสิ้นตามดั่งท่านว่า อีกประการสองเล่า จันทรานี้รักท่านจนเทียบค่าเท่าดวงใจ แลธรรมดามนุษย์ย่องหวงใจตัวเป็นที่สุด ฉะนั้นข้าพเจ้าก็หวงท่านเป็นที่สุดดุจกัน ขอท่านจงฟังความข้อนี้ให้แน่นไว้กับสติ พิทักษ์ตัวท่านเองแทนข้าพเจ้าด้วย มาตรแม้นมีข่าวรู้มาว่า ท่านใฝ่ใจอิสตรีอื่นเกินจันทรา วันนั้นก็จักเป็นวันสุดท้ายของน้องท่านแล้ว กับข้าพเจ้าผูกเวรจองล้างท่านตลอดทุกชาติไป จะเด็ดฟังนางกล่าวความโดยประสาซื่อมิอาจกลั้นน้ำตาอยู่ จึ่งว่ากับนางว่า อันเรานี้ทะนงตนเป็นชายชาติอาชา น้ำจะออกต่อเมื่อทุกข์ทนเจ็บช้ำสุดกลั้นแล้ว ฉะนั้นบัดนี้จะขอให้สัตย์ด้วยหน้าอันกำลังโทรมน้ำตานี้ หากเรากลับใจรักผู้ใดเกินท่าน ก็ขอให้ประสบเคราะห์ภัยอย่างใหญ่หลวงเถิด แลเจ้าหนุ่มโน้มนางมาจูบทั้งซ้ายขวา บอกลาไต่กลับลงมาเกือบครึ่งทางแล้วกำเริบอาลัยอยู่ หวลรื้อกลับปีนขึ้นมาจูบซ้ำอีกถึงสองพัก กระทั่งเวลารุ่งจัดขึ้นมาอยู่ช้ามิได้จึ่งหักใจไป ตะละแม่จันทราเฝ้าดูจนจะเด็ดเร้นกายเข้าใต้เงาไม้ลับไปนานแล้วจึ่งคืนเข้าพระที่ แลจะเด็ดกลับมาถึงวัดกุโสดอโดยสะดวกเหมือนขามา จะได้มีใครรู้แพร่งพรายนั้นหาไม่

            นับจากวันที่ประจักษ์น้ำใจพระราชธิดาโดยกระจ่างแล้ว เจ้าจะเด็ดก็มานะพากเพียรยิ่งกว่าที่เคย ราชการหนักเบามิไดปริปาก และประกอบด้วยลักษณะแช่มช้อยเป็นที่ต้องใจของผู้ใหญ่แต่อายุน้อย เจรจาความก็เป็นหลักฐาน ทั้งวาจามีเสน่ห์เป็นอำนาจรัดตรึงใจคน ทกะยอดินผู้ขุนวังก็เอ็นดู แลขุนวังผู้นั้นทราบความที่จะเด็ดต้องมารับหน้าที่ผู้น้อยในกรมตนมาก่อนแล้ว จึ่งกรุณามากกว่าคนฝึกราชการทั้งปวง พอใจใช้สอยราชการเนือง ๆ ยิ่งจะเด็ดเป็นคนไวปัญญา ทกะยอดินจึ่งเพิ่มความรักแลวางใจขึ้นอีก ขณะเรียกหาจะเด็ดต่อหน้าคนทั้งหลายก็ไว้หน้าเหมือนจะเด็ดเป็นลูกหลานตน

ตอนอนุชาพระเจ้าหงสาวดี

            เพลานั้น พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระผ่านราชสมบัติกรุงตองอูมาได้ ๔๕ พรรษา พระอายุล่วงเข้า ๖๙ ขึ้นเดือน ๘ ก็ประชวรมีอันเป็นกระเสาะกระแสะ นานวันพระอาการก็ยิ่งกำเริบขึ้นทุกที อาการประชวรทราบไปถึงเมืองหงสาวดี เมืองแปร เมืองอังวะ ทั้งสามเมืองมาตรจะเจริญไมตรีด้วยเมืองตองอูก็สำคัญเพียงความนอกหน้าผูกพันเยื่อใยกันโดยความเมือง จะว่าโดยน้ำใสใจจริงนั้นหามิได้ เพราะต่างเมืองแก่งแย่งคอยชิงความเป็นใหญ่จากกันแลกันในแค้วนพุกามประเทศอยู่ แลเมืองตองอูนั้นเป็นเมืองอยู่กลาง แม้ถ้ากำลังอ่อนระส่ำระสายลงประการใดก็ดี เมืองอื่นที่ล้อมข้าง ๆ ฝ่ายใดได้ช่องก็รบซ้ำเติมเอา ฉะนั้นเมื่อข่าวพระเจ้าตองอูประชวรครั้งนี้ล่วงรู้ไปถึงเมืองมั้งสามแล้ว เมืองแปรแลเมืองหงสาวดีก็จัดทูตเดินทางมาเป็นทีเยือนฟังพระอาการของพระเจ้าเมงกะยินโย เอาความสัมพนธไมตรีบังหน้าเป็นอุบาย

            เท้าความทางฝ่างหงสาวดีนั้น พญารามสุรคตแล้ว พระราชโอรสได้ทรงราชย์สนองพระองค์ทรงนามพระเจ้าสการะวุตพี แจ้งข่าวอันเป็นของเมืองตองอูก็กำเริบพระทัยด้วยไม่เห็นผู้ใดจะเป็นใหญ่ในเมืองนั้น ถึงจะมีมังตรารับตำแหน่งมอบสิริราชสมบัติเล่า เสนาบดีผู้ใหญ่ในพระเจ้าหงสาวดีก็ประมาทว่าเด็กนัก หากเมงกะยินโยดับสูญลงวันใดก็หน้าที่มังตราจะรั้งตองอูไว้มิอยู่ พระเจ้าหงสาวดีจินตนาการดั่งนี้แล้วจึ่งให้สอพินยาผู้น้องชายเป็นทูตรีบรุดมาเมืองตองอู ทำทีมาฟังอาการเป็นเชิงมีใจภักดี แต่เนื้อแท้นั้นพระเจ้าหงสาวดีมั่นหมายตองอูไว้เสมอด้วยมังสาก้อนใหญ่ จะขบเคี้ยวให้อร่อยลิ้น แลเมงกะยินโยนั้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มิถนัดในเชิงยุทธ มุ่งแต่ชื่อเป็นประมาณ ไม่สงสัยว่าทูตเมืองหงสาวดีจะเข้ามาโดยอุบายศึก ครั้นสอพินยาเข้าเฝ้าก็เข้าพระทัยว่าเป็นไมตรีของพระเจ้าสการะวุตพี จึ่งรับทูตอันมาแต่กรุงหงสาวดีเป็นอันดี แล้วในลำดับต่อมา นระบดีพระเจ้ากรุงแปรก็แต่งรานองอุปราชอัครมหาเสนาบดีเข้ามาเฝ้าอาการพระเจ้าตองอูเช่นกัน ส่วนทางข้างเมืองอังวะสงบอยู่ แลทูตทั้งสองนั้น พระเจ้ามหาสิริชัยะสุระให้เป็นพนักงานขุนวังรับรอง ทกะยอดินจึ่งจัดให้เจ้าสอพินยาแลรานองพักอยู่ในบริเวณบ้านตนนั้นแก่คนที่มิใช่เป็นศรัตรูย่อมวางตัวเป็นกัลยาณมิตร แลย่อมถือว่าแขกผู้มาสู่เรือนตนคือผู้พาความมงคลมาสู่ ฉะนั้นสอพินยาแลรานองจึ่งได้สำนักกับทกะยอดิน ทั้งในฐานะฑูตของเมืองใหญ่แลฐานกันเอง

            แต่ขุนวังเป็นพ่อหม้าย มีธิดารุ่นสะคราญอันเกิดกับภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้วอยู่คนหนึ่งชื่อ นันทะวดี ทกะยอดินเอ็นดูนางนัก ไม่คิดหาภรรยาใหม่ โดยเกรงบุตรสาวตัวจะวุ่นใจ แลการบ้านทั้งปวงทกะยอดินก็มอบให้นางเป็นใหญ่แทน ข้าทาสทั้งปวงอยู่ในอำนาจนางนั้น ฉะนั้นนางจึ่งเจนการเรือน และจะเจนการใดก็มิได้พกความประหม่า ผิดกว่าหญิงทั้งหลายซึ่งถูกกักตามประเพณีตั้งแต่วัยรุ่น ครั้นเมื่อทูตเมืองหงสาวดีกับเมืองแปรมาสำนักยังเรือนนี้ นางผู้นั้นก็เป็นหัวแรงสั่งงานทั้งปวง

            ท่านทกะยอดินมิอาจปลีกงานมาวิสาสะกับทูตเนืองๆ จึ่งเกรงว่าแขกเมืองของตนจะหย่อนความสะดวกครั้นเห็นจะเด็ดเป็นคนใช้คล่องรู้การควรมิควรทั้งปวง จึ่งจัดเป็นพนักงานฝ่ายวังคอยให้ความสะดวกแก่แขกเมืองทั้งสอง เมื่อเจ้าสอพินยาและรานองจะประสงค์สิ่งใด หากเห็นมิเหลือกำลังก็ตกเป็นภาระจะเด็ดปฏิบัติไปหากเป้นกิจบ้านก็แจ้งกับนันทวะดี แลหากเป็นราชการก็แจ้งกับขุนวังเอง จะเด็ดบอกหน้าที่ใหม่ของตัวกับพระมหาเถรผู้อาจารย์แล้วก็มาประจำอยู่บ้านขุนวังตามสั่งทั้งกลางวันกลางคืน

            แต่นางนันทะวดีเคยฟังบิดาเล่าความเดิมของจะเด็ดแต่ครั้งยังอยู่ในวังให้ทราบเป็นเลา ๆ แลมิรู้จักหน้าค่าชื่อจึ่งคิดตามพื้นธรรมดาว่า คนคดก็ชังน้ำหน้า ลงความคิดเอาว่าจะเด็ดเป็นคนกำเริบ มิได้สำนึกคุณเจ้านาย ซ้ำต่อมาได้ฟังทกะยอดินชมเชยจะเด็ดในบางคราว ไม่ต้องใจตัวตั้งแต่แรกก็กลับชังยิ่งขึ้น พาลเกลียดเอาทั้งที่ไม่เคยรู้จักหน้า พอทราบว่าจะเด็ดจะมาประจำอยู่ในบ้านก็หมายมั่นปั้นมือไว้ว่า จะเอางานกวาดขันจะเด็ดให้จงหนัก จึ่งจะเด็ดเหยียบเรือนวันแรก ธิดาทกะยอดินก็จับตาอยู่ แต่จะเด็ดเคารพนางด้วยใจซื่อว่าเป็นลูกของนาย เมื่อมีกิจใดจะบอกก็บอกด้วยความนอบน้อมโอนอ่อน แต่วิสัยนางนั้นเป็นเด็กที่บิดาตามใจจนเคยตัว เมื่อหมายสิ่งใดแล้วไม่เคยพลาด ฉะนั้นจึงเป็นสตรีทิฐิมานะ เมื่อใดรู้สึกว่าความคิดเป็นไปข้างเอ็นดูจะเด็ด ก็ทำลายความคิดนั้นสีย โดยพยายามนึกให้เกลียดให้หนักขึ้น แต่การนี้เป็นไปมิได้ทันนาน ครั้นสั่งสนทนากับพนักงานวังหน้าใหม่ด้วยเชิงงานไม่กาครั้งเห็นเจรจาพาทีแหลมหลัก กิริยาแช่มช้อยมักถ่อมตัวแต่ไว้สง่าอยู่ในที นันทะวดีแม่ก็อ่อนกำลังใจเดิม กิจการใดที่ขัดข้องแม้จะไม่เกี่ยวด้วยแขกเมืองทั้งสอง นางก็มักพลอยเอามาปรึกษาจะเด็ดเนือง ๆ ฝ่ายจะเด็ดนั้นความในคอยทรมานให้เป็นคนเจ้าทุกข์ นับแต่อยู่ด้วยอาจารย์มิได้รับความใฝ่ใจจากใครเหมือนเมื่ออยู่ในอกมารดา ซึ่งเหมือนคนพลัดเมือง ครั้นมาอยู่ ณ บ้านขุนวังมีนางนันทวะดีพอใจพูดด้วยเสมอเพื่อน ความเหงาค่อยบรรเทาลง ต่อนานวันทั้งสองฝ่ายยิ่งถูกใจกัน จะเด็ดค่อยแช่มชื่นขึ้น แลความที่ได้จงใจเกลียดแต่เดิมนั้นทางนันทวะดีก็เลือนเสียสิ้น

            จะกล่าวถึงทูตทั้งสอง รานองเป็นฝ่านสูงอายุซุ่มเชิงวิสัยเสือเฒ่า คอยสังเกตเอาแต่ความเมือง สอดส่องประมาณกำลังที่ทแกล้วทหารแลน้ำใจราษฎรชาวเมืองตองอู ไม่กังวลต่อกิจอื่นอันเจ้านายมิได้ใช้ ส่วนเจ้าสอพินยายังเยาว์ อายุพึ่ง ๑๗ อ่อนกว่าพระเชษฐาซึ่งผ่านกรุงหงสาวดีเพียงสองปี ความเมืองจึ่งมิได้เอาใจใส่เสมอด้วยรานอง แต่สิ่งที่ใฝ่ใจดีเกินรานองนั้นตรงที่นางนันทะวดีธิดาขุนวังผู้เจ้าสำนัก

            เจ้าสอพินยานิสัยคร้าน จึ่งเข้าเฝ้าเยี่ยมพระเจ้ามหาสิริชัยะสุระหลาย ๆ วันต่อครั้งหนึ่ง นอกนั้นสอบเอาจากปากทกะยอดิน ฉะนั้นไม่ตอนเช้าก่อนทกะยอดินเข้าวังก็ตอนค่ำเมื่อทกะยอดินกลับ เจ้าสอพินยาชอบมาสนทนาด้วยเนือง ๆ พอปะนางนันทะวดีไม่กี่เพลา ฝ่ายสอพินยาก็เกิดเป็นโรคคนหนุ่มจับ การมาที่พยายามพบเจ้าบ้านก็กลับกลายตรงกันข้าม เก็งมาแต่ในขณะที่คิดว่าเวลานั้นทกะยอดินยังคงอยู่ในวัง หวังให้นางนันทะวดีจะได้ออกมารับรองแทนตามควรกับอัธยาศัยเจ้าบ้าน ทกะยอดินได้แจ้งการนี้ก็เข้าใจ แต่มิได้ตกปากกีดกันให้ประจักษ์ เจ้าสอพินยาจึ่งได้ใจ แต่ยังหาช่องพูดกับนางโดยลำพังมิได้ เพราะการสนทนาทุกคราวไม่สบโอกาสตัวต่อตัว ทั้งข้าคนทั้งปวงคอยนั่งรับใช้ประดับบารมีในที่นั้นมีมากหน้าหลายตา

 

ตอนยามมังตรามุ  

          ฝ่ายมังตราพระราชบุตร ครั้นเมื่อจะเด็ดถูกขับออกจากวังไปอยู่วัดกุโสดอ โอกาสพบปะสนทนากันยังพอมีบ้าง แต่เมื่อจะเด็ดละวัดไปประจำราชการบ้านขุนวังทั้งกลางวันกลางคืน แต่นั้นมิได้พบหน้าเลยก็มีใจระลึกถึง เพลากลางวัน ๆ หนึ่งยามว่าง มังตราเตร่ไปถึงบ้านทกะยอดิน ล่วงเข้าบ้านแล้วไม่แจ้งว่าจะเด็ดพักอยู่เรือนใด แลพระราชบุตรไม่เคยนอบน้อมใครมาแต่กำเนิด นิสัยไม่รู้จักเกรงใจคนติดตัวจึ่งเดินขึ้นเรือนขุนวังโดยไม่ระมัดระวังกิริยา ข้าไททั้งหลายเห็นท่วงทีสง่าเป็นที่ประหลาดไม่อาจจะทักถาม ได้แต่มองดู แลลางคนก็วิ่งไปแจ้งแก่ธิดาทกะยอดิน นางนันทวะดีเร่งออกมาดู พบผู้เป็นแขกอายุน้อยกว่าน้อย มิหนำเที่ยวดูนี่ดูโน่นเดิมซุ่มซ่ามประหนึ่งว่าตัวเป็นเจ้าของบ้านเสียเองก็ขัดใจ กระแอมให้เสียงแล้วพอมังตราผินหน้ามา นางจึ่งถามทีประชดโดยมิได้เกรงใจว่า ชะรอยท่านจะเป็นญาติสนิทของท่านทกะยอดินอันเป็นขุนวังแลเจ้าของที่ดินในขอบรั้วทั้งสิ้น จึ่งได้เดินทะลวงขึ้นมาบนบ้านโดยถือวิสาสะฐานกันเอง ข้าพเจ้าผู้ธิดาเจ้าบ้านขออภัยท่านด้วยที่มิได้รู้จักหน้าคนที่เกี่ยวดองเป็นญาติของบิดาสักครั้งเดียว วานท่านบอกคำหนึ่งก่อนว่าเกี่ยวดองกับท่านทกะยอดินโดยทางใด ข้าพเจ้าจะได้พิเคราะห์ให้สมศักดิ์ท่านว่าควรจะรับรองในห้องนี้หรือจะรับรองเพียงแค่ประตูรั้วนอกบ้านโน้น มังตรามีทุนทางคะนองปากอยู่แล้ว ครั้นได้ฟังประชดก็เห็นท่าสนุก จึ่งพูดยั่วนางว่า ทกะยอดินเป็นญาติกับข้าพเจ้านั้นจริงแล้ว แต่มิใช่เป็นญาติทางโลหิตสืบสาย เราเกี่ยวดองกันด้วยแผ่นดิน คือท่านขุนวังเป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณนี้ทั้งสิ้น แต่ข้าพเจ้าถือว่าพื้นแผ่นดินในเมืองตองอูเหมือนเป็นของตัวข้าพเจ้า ความสืบสายของเราประหลาดดั่งนี้ จึ่งไม่ทราบว่าจะประมาณเอาขุนวังเป็นญาติชั้นใดถูก แต่ส่วนธิดาของท่านแล้วข้าพเจ้ายินดีจะได้เป็นพี่ เชิญท่านนับเอาข้าพเจ้าเป็นพี่เถิดคงได้การ นางนันทะวดีฟังมังตราเจรจาโอหังก็โกรธเป็นกำลัง ชี้หน้าด่าเอาแล้วว่า ไฉนตัวจึ่งพูดกับเราดั่งนี้ ได้ล่วงล้ำขึ้นมาบนสำนักของขุนนางผู้ใหญ่แล้ว มิหนำยังหยามเจ้าบ้านเล่นอีกซ้ำ เคราะห์ดีที่มาพบปะเราเป็นคนใจพระ แม้นปะบิดาแล้วน่าทีหลังจะยับเพราะอาชญาบ้านเป็นเที่ยงแท้ ฉะนั้นฟังเราไล่แล้วจงให้รู้สึกเจ็บบ้าง รีบออกไปเสียโดยดี ขืนอยู่ช้าลิ้นอันสามหาวของเจ้าจะพาเจ้าเจ็บตัวเอง คนในเรือนได้ยินเสียงอื้ออึงก็ชวนกันออกมาดู มังตราเห็นความจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว ครั้นจะบอกความจริงว่ามาหาจะเด็ด หรือกลับเสียเล่า ดูก็เก้ออยู่ จึ่งดำริว่า ไหน ๆ ได้เล่นสนุกจนอื้อฉาวถึงเพียงนี้ก็แกล้งถ่วงอยู่จนทกะยอดินเดินกลับเมื่อประจักษ์ว่าเราคือผู้ใดคงจะพากันเห็นเป็นของขันไปเอง คิดดั่งนั้นแล้ว มังตราก็ด้านเอา ขึ้นไปนั่งยังตั่งที่ทกะยอดินนั่ง หยิบหมอนอิงมาหนุนหลังแล้วนิ่งเสียเหมือนคนมิได้ทำการที่อย่างผิด นางนันทะวดีอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด ด้วยมังตราท่วงทีภาคภูมิอยู่ จะลงเอาว่าเป็นคนสติวิปริตก็เห็นผิดเชิงไป แลสง่าราศีในตัวพระราชบุตรเป็นที่มหัศจรรย์ ข้าคนทั้งปวงพากันอึ้งไม่กล้าชี้นิ้ว พลอยพูดสำทับกับนายของตัว นางนันทะวดีโทโสจนไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก ต่อคิดได้ถึงจะเด็ดจึงใช้ให้คนรีบไปเชิญมา

            ขณะนั้น จะเด็ดกำลังสนทนาด้วยรานองบนเรือนโดยลำพัง คนไปตามวิ่งวนอยู่ข้างไม่พบตัว พอเจ้าสอพินยาปะหน้าจำได้ว่าเป็นคนเรือนโน้นก็ทักทาย หวังจะถามข่าวพาดพิงถึงนางนันทวะดี คนใช้ผู้นั้นก็เล่าให้ฟังว่า บัดนี้มีคนหนุ่มแปลกหน้าไม่ประจักษ์ว่าเป็นผู้ใด แต่ความบังอาจนั้นเหลือเกินนัก แล้วก็บอกตามถ้อยคำที่นางนันทะวดีกับมังตราโต้ตอบกัน ทั้งตอนท้ายคนผู้นั้นยังได้สำแดงถึงความร้อนใจแลโทสะของนางแถมให้ฟังอีก สอพินยานั้น เสมอว่ามีชายหนุ่มบุกรุกขึ้นไปบนเรือนก็เดือดใจอยู่แล้ว ยังทราบถึถงความอันกวนโทโสของชายผู้นั้นอีกเล่า ก็ทวีความเดือดเป็นสองเท่า กับอีกเหตุหนึ่งประสงค์จะแสดงให้ธิดาทกะยอดินเห็นน้ำใจ เจ้าสอพินยาจึ่งว่า ข้าฟังดูแล้วอ้ายคนผู้นั้นท่วงทีจะบึกบึนฉกรรจ์อยู่ จะละใหจะเด็ดจัดการเห็นจะเกินกำลัง ตกเป็นพนักงานข้าจะไสหัวมันเอง ว่าแล้วสอพินยามิได้นอนใจ ผลุนผลันไปกับคนผู้นั้นทันที

            แต่ทูตมอญนั้น ถึงจะได้เข้าไปในวังเป็นหลายหนก็หาเคยปะหน้าพระราชบุตรไม่ ด้วยพระเจ้าอยู่หัวถือว่ามังตรายังเยาว์จึ่งมิได้ฝักใฝ่กับรั้วงานราชการ ประกอบกับทั้งเจ้าตัวเองเป็นคนพอใจเล่นสนุกมาถือยศอย่างไว้ตัว กังวลแต่ความคะนองมากกว่าการเข้าหาผู้ใหญ่ ฉะนั้นสอพินยาจึงไม่รู้จักมังตรา ครั้นมาถึงเรือนทกะยอดินเห็นนางนันทะวดีหน้านิ่วอยู่นอกห้อง ก็ถามว่า อ้ายไพร่ตนนั้นยังอยู่แห่งใด ข้าพเจ้าจะลบรอยบึ้งที่หน้านางโดยค้ำหัวมันให้มาลุกะโทษแก่ท่านจงได้ นางนันทวะดีย่อกายลงขอบคุณแล้วว่า เป็นพระคุณที่พระอนุชาท่านจะยอมลำบากด้วยข้าพเจ้า แต่การนี้เป็นเหตุส่วนตัว ซึ่งจะทำให้ท่านราชทูตถึงกับลงมือลงแรงด้วยแล้ว เกรงท่านบิดาจะลงเอาเป็นความผิดว่าข้าพเจ้าหาเรื่องมาให้ท่านขุ่นใจ ท่านละการนี้ไว้พนักงานจะเด็ดก็คงได้การอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึ่งให้คนไปเชิญจะเด็ด ไฉนคนนั้นจึ่งไปบอกผิดตัว เจ้าสอพินยาฟังนางทัดทานดางนี้เหมือนถูกยุ กลับเพิ่มน้ำใจฮึดขึ้นอีกหลายเท่า ทำทีให้ทะมัดทะแมงแล้วว่า การใดที่ทำความไม่ต้องใจให้ท่านแล้ว ข้าพเจ้าย่อมถือการนั้นเป็นใหญ่ แม้คนตามจะไปบอกแก่จะเด็ดก็จริง แต่ข้าพเจ้ารู้ความแล้วไม่อาจระงับความร้อนใจได้ ขอให้ท่านใช้ข้าพเจ้าจงสมกับศรัทธามาเถิด นางนันทวะดีเห็นน้องพระเจ้าหงสาวดีตกปากตกคำแข็งขันนักก็พาเข้าห้องชี้ให้ดูมังตราแล้วว่า ตั่งนั้นนอกจากท่านขุนวังบิดาข้าพเจ้าจะมีใครกล้าขึ้นไปนั่งกระนั้นหามิได้ แต่ชายผู้นี้หาได้นั่งเปล่า ซ้ำได้ทีปั้นท่ายิ่งกว่าขุนวังเอง เจ้าสอพินยาเห้นอาการมังตราก็บาดตาเป็นที่สุด จึงตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ไฉนอ้ายถ่อยผู้นี้จึงไม่เจียมกาย เหิมขึ้นนั่งร่วมที่เสนาบดีผู้ใหญ่แลต่อหน้าเราฉะนี้ แล้วยังแกล้งทำกริยาเหมือนทองไม่รู้ร้อนอีกฤา มังตราฟังตวาดก็โทสะขึ้นหน้าแลไม่แจ้งผู้วางอำนาจอยู่บัดนี้คือผู้ใด ทั้งมังตราไม่เคยทราบว่าทกะยอดินมีบุตรชาย แล้วพระราชบุตรสังเกตสอพินยา เห็นทีล่ำสันมิได้เกินกว่าตัว ก็คิดว่า แม้นมีอันเป็นจะต้องใช้มือใช้เท้ากันแล้ว ไม่เห็นมีแววจะหนักใจนัก ก็แสร้งยั่วโดยนั่งเฉยเสียอย่างเก่า สอพินยาก็ประหลาดใจแลโมโหระคนกัน จึ่งว่า เจ้าหูแตกหรือจึงมิได้ยินคำที่เราว่า มังตราแสร้งทำให้กวนโทโสหนักขึ้นอีก โดยหาตอบโต้กับเจ้าสอพินยาไม่ กลับยื่นหน้าไปเจรจาด้วยนางนันทะวดีว่า อันท่านทกะยอดินนี้ มีหน้าที่เป็นขุนวังเจ้าขนบธรรมเนียมอยู่ไฉนจึ่งไม่ฝึกกิริยาพาทีไพร่ในเรือนให้เรียบร้อยบ้าง ดูหรือมาตะโกนกู่โหวก ๆ พูดกันอึงคะนึงในขณะที่มีแขกขึ้นมาบนบ้าน แม้นทาสบ้านเราหยาบกระนี้ก็จะโบยหลังมันเสียให้ลายจนตลอดต้นคอ ธิดาทกะยอดินขันก็ขันแค้นก็แค้น ส่วนเจ้าสอพินยามิได้ขันมากกว่าแค้น ครั้นจะบุ่มบ่ามด้วยกำลังก็เกรงชายประหลาดนี้จะมีดีอะไรแฝงอยู่ จึ่งวางท่าเยือกเย็นจนน่าสนเท่ห์ เจ้าสอพินยาได้แต่ระบายแค้นออกมาด้วยวาจาว่า มึงไม่มีตาดูหรือว่ากูนี้ไม่ใช่ทาส ถึงทาสในเรือนนี้กูไม่เคยเจรจาหยาบด้วย แต่มึงนั้นราคาทรามยิ่งกว่าทาสเสียอีก ถูกด่าแล้วมิรู้จักอาย ยังมีหน้ามาพูดแก้ขวย ถ้ามึงไม่รู้ว่าที่กูพูดนี้พูดกับใคร กูก็จะบอกเดี๋ยวนี้ว่ากำลังพูดอยู่กับอ้ายถ่อยทรลักษณ์ที่ไม่รู้เงาตัวตน มังตราพลุ่งขึ้นมาแต่สะกดไว้ได้ แล้วตอบสืบไปโดยปกติว่า ขอโทษเถิดที่ไม่ทราบว่าตัวจะปรารถนาเจรจาด้วยเรา  เห็นเอ็ดตะโรเป็นเสียงนกเสียงกาเลยคิดไปว่าทาสสนทนากัน แลเมื่อตัวแจ้งว่ามิใช่ทาสในบ้านนี้แล้วควรบอกเราด้วยว่าตัวนั้นเป็นขี้ข้าอยู่สำนักใด นางนันทะวดีเห็นมังตราพูดล่วงเกินดั่งนั้นก็ตกใจ รีบเถียงแทนว่า อันโทษที่เจ้าหมิ่นเรานั้นพอจะยกได้ แต่โทษที่หมิ่นทูตแลพระอนุชาพระเจ้ากรุงหงสาวดีนั้นคอจะหลุดบ่า จงรีบออกไปเสียโดยดีเถิด ใกล้เวลาขุนวังจะกลับ แม้นท่านมาพบเข้าชีวิตจะสิ้นเสีย

            ฝ่ายมังตรา พอรู้ว่าเป็นอนุชาของพระเจ้ากรุงหงสาวดี เลือดขัตติยะกรุงตองอูก็ชังน้ำหนักยิ่งขึ้น ตวาดเอากับธิดาทกะยอดินว่าตัวนั้นเป็นเชื้อแถวของคนเมืองตองอูไยจึงไม่รักศักดิ์ วิสัยชาวตองอูนั้นเสมอจะเป็นเพียงราษฎรก็ย่อมถือตัวว่าดีเกินกว่าที่ให้เจ้านายเมืองอื่นจะเจรจาสามหาวด้วย แต่นี่สิกลับมาชื่นชมยินดีด้วยคำคนต่างเมืองดั่งนี้ เราเสียดายนักที่ได้เกิดคนเลวปะปนขึ้นในเชื้อแถวชาวตองอู แลมังตรายืนขึ้นสำทับเจ้าสอพินยาว่า หัสเดิมกูไม่แจ้งว่ามึงเป็นใครจึงยั่วฟังมึงพูดโดยสนุก แม้งแจ้งแล้วก็จะไม่ยอมให้มึงขึ้นเสียงเกินกว่าสองคำได้ แลน้ำใจกูนั้น อย่าว่าแต่มึงผู้น้องเลย ถึงสการะวุตพีผู้พี่ กูก็หาพรั่นพรึงไม่ หากกูได้สิทธิขาดในเมืองตองอูเมื่อใด เมื่อนั้นก็จะไปเล่นสนุกให้ถึงสำนักพี่มึงให้จงได้ สอพินยาแลคนทั้งปวงฟังมังตราเจรจาความใหญ่นักเห็นประหลาด ก็พากันงงอยู่ แลมังตราถึงคราวโกรธแล้วมุทะลุ จึ่งตะลุมบอนพระอนุชาพระเจ้าหงสาวดีด้วยกำลัง สอพินยาไม่ทันรู้ตัวถูกมือเท้าเข้าหลายฉาด ครั้นคนทั้งปวงตรูกันจะเข้าช่วย พระราชบุตรก็รวบแขนสอพินยาไว้ด้วยเล่ห์ แล้วประกาศแก่คนเหล่านั้นว่า หากใครชะล่าใจจะกลุ้มรุมเรา เราจะหักแขนอ้ายฑูตหน้าโง่ผู้นี้เสีย นางนันทะวดีเห็นความลุกลามใหญ่โตดั่งนี้ ก็เร่งให้คนไปตามจะเด็ดทางหนึ่ง แลไปข้างในวังตามตัวท่านทกะยอดินทางหนึ่ง

            เมื่อคนไปตามครั้งที่สอง จะเด็ดยังคุยกับรานองอยู่ ได้ยินเสียงออกชื่อตนก็โผล่ออกมาดู ความที่คนบอกละล่ำละลักพิจารณาตามรูปความเห็นเหตุมิใช่เกิดน้อย จึ่งรีบวิ่งมาโดยเร็ว นางนันทะวดีเห็นจะเด็ดค่อยโล่งใจ ตะโกนให้ช่วยเสียงขรมอยู่ ครั้นมังตราได้ยินเสียงออกชื่อสหายตัวก็ดีใจ พอจะเด็ดล่วงประตูเข้ามา มังตราเป็นฝ่ายร้องทักขึ้นก่อนว่า ข้าพเจ้ามีใจระลึกถึงพี่ท่านจึงมาเยือน หากเผอิญพบอ้ายเชลยเมืองหงสาวดีชวนค้าคารมจึ่งหลงเล่นกับมันเพิลอยู่ มิได้รีบไปพบหน้าพี่เราให้สมกับที่คิดถึง ขอท่านอย่าถือโทษที่ข้าพเจ้าไถลเลย จะเด็ดเห็นมังตราทำเสียการ บิดแขนสอพินยาจนตัวโก่งดั่งนั้นก็ตกใจ ตรงเข้าแกะมือพระราชบุตรออกแล้วว่า ท่านใหญ่แล้วไฉนมาประพฤติตัวไม่สมควร มาล่วงเกินรุนแรงต่อท่านราชทูตกรุงหงสาวดีด้วยเหตุใด มังตราหัวเราะแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าจะสอนให้มันรู้ว่า การใช้ลิ้นกับคนเมืองตองอูนั้นต้องระวังให้สุภาพจงหนัก เอ่ยขึ้นก็อ้ายอีมีชื่อสุดแสนแต่ถนัดปากของมันนันมิได้ ขณะนั้น จะเด็ดก็ดึงให้มังตราวางมือจากสอพินยา ครั้นเจ้าชายชาวตะเลงเป็นอิสระแล้ว ทั้งเจ็บทั้งอาย แลทั้งเห็นว่ามีจะเด็ดขวางไว้อีกผู้หนึ่ง ก็ท้าทายฮึดฮัดเหมือนจะโจนเข้าฉีกเนื้อมังตราให้ขาดออกเป็นชิ้น ๆ ราชกุมารตบมือหัวเราะร่า ร้องบอกกับสอพินยาว่า เพียงกูคนเดียวแลมือเดียวมึงก็มีลักษณะเชื่องช้าไปทางลูกไก่ ครั้นบัดนี้กูยังมีจะเด็ดพี่กูอีก มึงควรจะอดกลั้นความโกรธไว้ในอกให้กูแลพี่กูเวทนาบ้างจะได้ไม่เจ็บตัว นางนันทะวดีฟังแล้วยิ่งเพิ่มพูนความประหลาดใจ ถามจะเด็ดว่าอันคนผู้นี้เป็นน้องชายของท่านหรือ

            จะเด็ดชี้มือไปทางมังตราแล้วตอบว่า ท่านผู้นี้มีศักดิ์สูงเกินกว่าข้าพเจ้าจะนับตัวเองเข้าเป็นญาติ แต่ที่ถูกเป็นพี่ก็เพราะท่านยกย่องให้เอง และจะเด็ดยังมิทันจะพูดต่อไป ก็พอดีทกะยอดินกลับ ขุนวังรับข่าวกาหลทางบ้านแล้วมิได้นอนใจ รีบรุดมาโดยด่วน แลครุ่นแค้นว่าผู้ใดใครหนอจึ่งได้กำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ พอย่างเข้าเขตบ้านยิ่งแลเห็นคนเกือบทั้งบ้านชุมนุมอยู่นอกหอนั่งยิ่งสะดุ้งใจหนักขึ้น ครั้นล่วงเข้าถึงข้างในคนอื่น ๆ อยู่พร้อมกัน ทกะยอดินไม่รู้สาเหตุ พอเห็นมังตราแล้วยังมิทันไต่ถามประการใด ขุนวังก็ทรุดลงบังคมพระราชบุตรตามประเพณี นางนันทะวดีแลเจ้าสอพินยานั้นสงสัยแทบจะคลั่งใจตาย

            มังตราย่อกายลงรับไหว้ จับมือทกะยอดินด้วยความสนิทสนมพลางพูดว่า วันนี้ข้าพเจ้ากระทำผิดไว้ในบ้านท่านอาหนักมืออยู่ แต่ท่านนั่งเสียก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง แล้วมังตราก็เชิญทกะยอดินหมายจะให้นั่งสนทนากันบนตั่ง แต่ขุนวังผู้เจนประเพณีหาบังอาจร่วมที่พระราชบุตร จึ่งเชิญพระราชบุตรนั่งบนตั่งสำหรับตัว ส่วนตัวเองกลับนั่งลงที่พื้น คนทั้งหลายเห็นขุนวังนั่งราบกับพื้นเช่นนั้นก็ทำตาม เหลือมังตรานั่งเป็นสง่าในที่สูงผู้เดียว

            แล้วมังตราก็เล่าความแก่ขุนวังตามจริงตั้งแต่ต้นจนปลาย หากพูดแบ่งรับว่า การทั้งปวงนี้ บางตอนทำเกินควรไป แต่ท่านอาซึ่งเคยเห็นข้าพเจ้ามาตั้งแต่น้อยแล้ว คงแจ้งอยู่ว่าข้าพเจ้าชอบสนุก ทั้งวันนี้โดยสัตย์ที่แท้หมายใจจะมาเยือนจะเด็ดโดยระลึกถึง อนึ่ง สำนักแห่งท่านข้าพเจ้าย่อมคิดว่าเป็นกันเอง ลาวงขึ้นมาบนเรือนแล้วคงจะปะท่านอา แต่ครั้นกลับพบบุตรีท่านเป็นตัวแทน เห็นน้องเราเจรจาฉะฉานนักก็หวังจะเย้าตามประสาอารมณ์ญาติดอก แต่ถ้าเรื่องยุติอยู่เพียงนาง การคงไม่อื้อฉาวลุกลาม แต่นี่มีท่านผู้ดีชาวหงสาวดีโดดเข้ามาร่วมวงอีกคนหนึ่ง พอประจักษ์หน้าท่านก็เจรจาประหนึ่งข้าพเจ้าเป็นตะพุ่นหญ้าช้างของเมืองหงสาวดี สุดที่จะอดกลั้นไว้ได้แล้ว จึ่งสอนท่านให้รู้ถึงความไว้ตัวของชาวเมืองตองอูไปค้าถึงบ้างจะได้ไม่หยามกัน

            ทกะยอดินฟังแล้วตรองการเห็นเป็นข้อวนเวียน จะลงเอาว่าฝ่ายใดถูกกว่าฝ่ายใดให้แน่ลงไปยังขัดอยู่ ดูก็พอ ๆ กันทั้งสองฝ่าย แต่ตัวเป็นใหญ่ แม้นละไว้ไม่ไกล่เกลี่ยให้ดีแล้ว เหตุก็จะสืบสาวใหญ่โตขึ้น ส่วนทางฝ่ายเจ้าสอพินยาเป็นแขกเมือง ควรจะทะนุถนอมน้ำใจเขาไว้ให้เป็นอันดี จึ่งว่าขึ้นเป็นกลางว่า การนี้ข้าพเจ้าขอวอนทั้งสองฝ่าย ถือเป็นบาปเคราะห์ร่วมกัยบข้าพเจ้าเถิด อย่าผูกเวรซึ่งกันต่อไปเลย ชี้สอพินยาแล้วกล่าวสืบไปว่า ฝ่ายท่านก็เป็นอนุชาอันสูงศักดิ์ของกรุงหงสาวดี แลฝ่านนี้มังตราพระราชโอรสเล่า ก็เป็นยุพราชรับเมืองตองอู ถ้าจะว่าถึงศักดิ์แล้วก็พอสมน้ำสมเนื้อ มิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนเลวล่วงเกินคนดี ฉะนั้นถ้อยคำที่กล่าวโต้กันนั้นจึ่งไม่ควรจะฟังว่าฝ่ายใครเสื่อมเกียรติทั้งสองฝ่าย ปลงใจออมชอมกันเสีย แล้วทกะยอดินหันหน้ามาว่ากับสอพินยาว่า ข้าพเจ้าขอระลึกคุณท่านไว้เป็นส่วนตัว โดยที่ท่านพลอยต้องเคราะห์นั้นก็เพราะหวังเอื้อกูลข้าพเจ้าจึ่งเจ็บร้อนว่าเอาพระราชบุตร ไหน ๆ ท่านก็ได้ทำคุณกับข้าพเจ้าแล้ว วานท่านได้ทำต่อไปคือละความอาฆาตนี้เสียเถิด สอพินยาไม่วายแค้น แต่เกรงใจในฐานะที่ขุนวังเป็นบิดานางนันทะวดี ก็ตกปากรับคำอ้อมแอ้มอยู่ ส่วนมังตรานั้นมิใช่พยาบาทคนยิ่งโกรแวทำเสียได้ดั่งนี้ก็ดีด้วยง่าย ทกะยอดินจะให้คนทั้งสองฝ่ายผูกสัมพันธมิตรกันให้แน่นขึ้นอีก จึ่งเชิญสอพินยาแลมังตราเสพอาหารด้วยตน และรับว่าจะเป็นไปผู้รับส่งมังตรากลับวังเมื่ออยู่เกินเวลา คู่วิวาททั้งสองฝ่ายยอมรับคำแล้วทกะยอดินก็สั่งให้จัดอาหารมาเลี้ยงในเพลานั้น

            นางนันทะวดีเทียบสำรับแล้วคอยปรนนิบัตบิดาอยู่ แต่ทกะยอดินนั้นยังถนอมยศมิได้เรียกจะเด็ดเข้ากินร่วม มังตราเห็นอาการรู้ทันแล้วคิดน้อยใจ จึ่งพูดเปรยกับเจ้าบ้านว่า ข้าพเจ้ามีความสังเวชจะเด็ดนัก ที่ดูเศร้าหมองผิดกว่าครั้งอยู่ร่วมวัง แม้ข้าพเจ้ามีบุญสมคิดจะขัดราศีจะเด็ด อันบัดนี้เสมอพนักงานผู้น้อยเสียใหม่ให้สมกับเป็นพี่แลเพื่อนตาย แลเพลานี้ข้าพเจ้ายังอิ่มอยู่เชิญท่านอากับสอพินยารับประทานก่อนเถิด ข้าพเจ้าหิวเมื่อใดก็จะกินด้วยจะเด็ด ทกะยอดินแจ้งน้ำพระทัยพระราชบุตรก็ท้วงมังตราไว้ แล้วเรียกจะเด็ดเข้าร่วมสำรับด้วย ตั้งแต่บัดนั้นมาทกะยอดินก็เกรงใจจะเด็ดยิ่งขึ้นกว่าเก่า

            เมื่อถ้อยทีถ้อยสำราญกันแล้ว เจ้าสอพินยาก็ลากลับแลความชอกช้ำเป็นรอยปรากฏอยู่กับอก ทกะยอดินก็พาพระราชบุตรไปส่งด้วยเห็นเวลาค่ำแล้ว มังตราจะจากก็ฉวยมือจะเด็ดมาแล้วว่า วันนี้ข้าพเจ้าเห็นแต่หน้าท่านมิได้นั่งสนทนากันให้สมที่นานพบ ต่อเพลาวันพรุ่งวันรืนลงเมื่อใดจึ่งจะมาหาพี่ท่านอีก จะเด็ดสั่งความทุกข์สุขของตัวไปบอกมารดา แล้วมังตราก็ลาไป คงเหลือแต่ธิดาทกะยอดินกับจะเด็ดยังคุยกันอยู่

            นางนันทะวดีก็ปรารภถึงการเมื่อกลางวันกับจะเด็ดว่า มังตราพระราชบุตรไม่ควรจะทำเอาตกใจเปล่า บอกกล่าวเสียก่อนโดยดีแล้วไฉนความจะเป็นดั่งนี้ แต่เป็นทางดีของท่านที่คนในบ้านนี้จะได้ทราบถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระราชบุตร แล้วนางพูดทีล้อว่า เสียดายที่ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นหญิง แม้นเป็นชายแล้วก็จะฝากตัวเป็นข้าของพี่ชายราชโอรสพระเจ้าอยู่หัวไว้ ปะเบื้องหน้าจะได้พลอยมีหน้ามีตา เพราะอาศัยชื่อว่าเป็นข้าของท่านจะเด็ดบ้าง จะเด็ดถ่อมคำสนองคำนางว่า ความปลื้มจะทอนอายุข้าพเจ้าให้สิ้นเป็นแน่แท้แล้ว ท่านอย่าเจรจาดั่งนี้สืบไปเลย อันข้าพเจ้าว่าข้างมีบุญเหมือนกาฝาก ขึ้นบนต้นไม้ใหญ่รากหาได้หยั่งถึงดินเอง จะเป็นที่พึ่งแก่ใครนั้นหาได้ไม่แล้ว แลอย่าว่าแม้แต่จะมีกำลังให้ใครมาพึ่ง เพียงแต่จะรับใช้มารดาตนบุญยังไม่มีพอที่จะทำได้ อันหน้าตาพอมีอยู่บ้างทุกวันนี้ก็เพราะได้พึ่งใบบุญท่านขุนวัง แลได้รับความกรุณาจากแม่นางนันทะวดีนายท่านดอก จึ่งพอประทังความรู้สึกให้เห็นว่าโลกยังเป็นที่น่าอยู่ นางนันทะวดีได้ฟังจะเด็ดรำพันถึงมารดา มิอาจอดใจไม่ให้สงสารได้ จึ่งว่า ข้าพเจ้าพิจารณาท่าน ถึงหากไม่กำพร้าก็เหมือนกำพร้า แลอย่าว่าข้าพเจ้าล่วงเกินเลย นอกจากมารดาท่านแล้ว ซึ่งท่านพรากจากวังมานี้ยังจะมีความคิดถึงผู้ใดอีก จะเด็ดนิ่งเสียหำบอกไม่ นางนันทะวดีเห็นจะเด็ดนิ่งก็เกรงใจไม่อาจไต่ถามประการใดต่อไป ยกเรื่องอื่นมาสนทนาอีกครู่ พอค่ำจัดลงจะเด็ดเกรงไม่งามจึงลากลับ ธิดาทกะยอดินหน่วงเท่าใดก็มิได้ฟัง นางนันทะวดีก็อยู่ข้างเสียน้ำใจ

            ฝ่ายสอพินยากลับมาถึงที่พักแล้ว เพียรสงบใจเท่าใดก็ไม่คลายแค้น ถ้อยคำของมังตราเสมอหอกซัดค้างไว้ในหู ตรงที่ถูกย่ำยีเล่นต่อหน้านางนันทะวดีนั่นสิซ้ำร้าย คิดขึ้นได้เพลาใดแล้ว ความอายผุดขึ้นทุกขุมขน ครั้นจะฮึกหาญตึงตังก็เกรงแก่ศักดิ์พระราชบุตร ความแค้นมังตราเกิดขึ้นเท่าใดก็ยิ่งเกิดความมั่นหมายนางนันทะวดีมากขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้โดยสอพินยาเล็งเห็นว่า แม้ละนางไปให้พ้นมือแล้วต่อไปเบื้องหน้า เกรงว่าจะดูนางไม่เต็มหน้า วิตกเสียว่านางจะนึกเย้ยเรื่องราวที่เกิดเมื่อกลางวันอยู่ในใจ เจ้าสอพินยาคิดอ่านทางทั้งปวงแล้วไม่เห็นทางใดจะเหมาะกว่าปูนบำเหน็จให้จะเด็ดเป็นสื่อ ด้วยจะเด็ดเข้าถึงนางทุกเวลา จะพบปะค่ำคืนก็ไม่อื้อฉาวเหมือนตัวสอพินยาไปเอง คิดดั่งนั้นแล้วเจ้าสอพินยาลุกขึ้นเรียกหาจะด็ดเข้ามาสนทนา ปรับทุกข์ถึงความเมื่อกลางวัน แล้วแสร้งทำเหมือนหนึ่งมิได้ผูกใจโกรธพระราชบุตร

            ได้พูดกันช้านานจนคะเนว่า จะเด็ดวางใจว่าไม่มีใจแค้นเคืองตอบมังตราแล้ว เจ้าสอพินยาก็ถามเลียบเคียงว่า ข้าพเจ้าประมาณถ้อยคำแลสติปัญญาท่านเห็นหลักแหลมอยู่ แลซึ่งท่านทำราชการอยู่ในกรมวังเพียงชั้นพนักงานผู้น้อยนี้ เหมือนแก้วถูกทอดกลิ้งอยู่จมโคลน ข้าพเจ้าได้ไหว้วานในอันดับสี่อยู่ร่วมกันนี้เป็นที่ถูกใจอยู่ ครั้นจะบำเหน็จท่านเป็นเงินทองก็เกรงจะต่ำกว่าความดี จึ่งขออุทิศตัวเป็นผู้อุปการะท่าน หากท่านจะพึงใจตามข้าพเจ้าไปรับราชการ ณ เมืองหงสาวดีแล้ว ก็จะเลี้ยงให้ถึงขนาด จะเด็ดได้ฟังก็เฉลียวคิดด้วยปัญญา รำพึงคำสนทนาแต่ต้นมือมาแล้วก็สำนึกว่าเจ้าสอพินยาคงไม่มีไมตรีต่อตัวโดยสุจริต แต่ประสงค์จะล้างความให้แจ้ง จะเด็ดจึงแสร้งทำเป็นโสมนัสต่อถ้อยคำสอพินยาว่าอย่างดีที่สุด สอพินยาไม่คิดว่าตนจะเป็นฝ่ายต้องกล ก็บอกความในใจให้ทราบว่าตัวนั้นพึงใจนางนันทะวดี

            จะเด็จแจ้งแล้ว ความที่ไม่เคยชังน้ำหน้าเจ้าสอพินยาก็กลับชังขึ้น เกือบจะลุแก่โมโหพลุ่งออกไปแล้ว แต่มายั้งคิดได้ว่าหาใช่กิจการอันใดของตัวจะพูดไปไยให้ผิดใจกันเสียเปล่า แลประการหนึ่ง จะเด็ดใคร่จะดูใจนางนันทะวดีว่าจะรักเจ้าสอพินยาอยู่หรือจึ่งรับคำเอา เจ้าสอพินยาปลื้มใจเป็นที่สุด เข้าลูบหลังแล้วว่า แม้นท่านเอาธุระข้าพเจ้าสำเร็จแล้วจะแทนคุณให้ถึงขนาด จะเด็ดแสร้งประจบว่า ข้าพเจ้ารับท่านนั้นโดยไม่อยากขัดที่ได้ออกปากวานจะหวังเอาสิ่งของรางวัลสิ่งใดนั้นหามิได้ ฉะนั้นท่านจงอย่าได้กล่าวถึงเรื่องราวที่รางวัลกับข้าพเจ้าอีกต่อไปเลย

            รุ่งขึ้นเพลากลางคืน คนในบ้านสาละวนกับงานอื่นอยู่ จะเด็ดได้โอกาสปลอดอยู่กับนางนันทวะดีโดยลำพัง จึ่งกล่าวกับนางนั้นว่า บัดนี้ข้าพเจ้ามีความกังวลใจคิดไม่ตกอยู่อย่างหนึ่งคือ ได้รับหน้าที่เป็นพ่อสื่อนำธุระรักมากล่าวแก่ท่าน แต่ข้าพเจ้าจะบอกบัดนี้เล่าก็ไม่แจ้งอารมณ์ท่านเป็นประการใด เพราะฝ่ายที่วานข้าพเจ้ากำชับไว้ว่า ให้พูดจาเบี่ยงบ่ายจนท่านอารมณ์ดีแล้วจึงค่อยบอกความในใจแห่งเขา ฉะนั้นถ้าบุตรนายท่านเอ็นดูข้าพเจ้าจะให้ธุระที่รับปากเขามาสำเร็จลงโดยง่ายแล้ว ก็วานบอกข้าพเจ้าด้วยว่าอารมณ์ท่านบัดนี้เป็นประการใด นางนันทะวดีไม่คิดว่าจะมีคนพูดตรงจนน่าหมั่นไส้อย่างจะเด็ด ก็ประหลาดใจแลอายเป็นที่สุดแล้ว แต่ด้วยความอยากรู้จึงตอบไปห้วน ๆ ว่าใครวานท่านมาก็บอกเถิด จะต้องมาฟังอารมณ์ข้าพเจ้ากลใด จะเด็ดจึ่งว่า ถ้ากระนั้นก็ดีแล้ว ข้าพเจ้าจะได้บอก ๆ เสียให้หมดธุระพ้นอกไปเสียที แล้วจะเด็ดก็กล่าวต่อไปว่า เจ้าสอพินยาวานให้ข้าพเจ้าบอกท่านว่า เขารักท่านเหมือนจะกลืนเข้าไปในกลางทรวง แลเขาให้ข้าพเจ้าคอยฟังท่านด้วยว่ายังจะมีไมตรีจิตกับเขาบ้างหรือไม่ อนึ่งถ้าท่านปฏิเสธแล้ว อนุชาพระเจ้าหงสาวดีกำชับให้ข้าพเจ้าสังเกตว่า ท่านปฏิเสธด้วยเชิงชั้นมารยาเป็นกลหรือมิใช่ ฉะนี้นางจะกล่าวรับหรือกล่าวปฏิเสธก็กล่าวเถิด ข้าพเจ้าจะได้สังเกตกิริยาท่านตามที่เขากำชับมา

            นางนันทะวดีได้ฟังจะเด็ดเจรจา เหมือนหนึ่งคนหาวิญญาณไม่ ก็โกรธจนไม่อาจกล่าวความใดออก ลุกสะบัดขึ้นแล้วจะเดินหนี เจ้าหนุ่มรีบยืนขึ้นขวางหน้าไว้แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโง่ เพียงเห็นกิริยาบุตรนายท่านเท่านี้ยังมิอาจเข้าใจถูกว่าโกรธโดยน้ำใสใจจริงหรือมารยา ฉะนั้นจึ่งขอพูดให้กระจ่างว่า ทั้งนี้ท่านโกรธโดยจริงใจหรือ แลข้าพเจ้าจะได้ไปบอกเจ้าสอพินยาดั่งนี้

            นางนันทะวดีร้องไห้เพราะมากน้ำใจแค้นแลว่าจะเด็ดเอย ข้าพเจ้าเป็นศรัตรูคู่อาฆาตของท่านมาตั้งแต่ครั้งใดเล่าจึ่งว่ากล้ำเกินเอาเหมือนเป็นทาสปาก ซักจูงให้เดินทางผิดแล้วมิหนำยังจะเย้ยเหมือนข้าพเจ้าเป็นคนสัญชาติชั่ว ฟังใครบอกรักแล้วก็ต้องอารมณ์สมใจตัว แต่ยังคงรักษาสมบัติของคนชั่วไว้ คือกระทำมารยาประหนึ่งมิลงใจชอบ ข้าพเจ้าได้เคารพท่านแน่นแฟ้น เขียนด้วยมือแล้วก็อยากบูชาไว้ด้วยมือ ถึงท่านจะย่ำยีข้าพเจ้าอย่างใดก็ไม่คลายที่เคารพนับถือนั้นเสีย แต่ถึงกระนั้น ความรักตัวมีอยู่ ซึ่งจะยอมให้ท่านเหยียบย่ำเล่นมิได้ ไว้ท่านละการพูดชนิดนี้เมื่อใดเราจึ่งค่อยสนทนากันใหม่ แลบัดนี้ขอท่านจงหลีกให้ข้าพเจ้าไปเถิด คนทั้งปวงไม่รู้เห็นยืนจังก้าอยู่ดังนี้ก็จะเข้าใจเป็นอื่น เจ้าพนักงานวังหัวเราะแล้วว่า ได้รู้มานานแล้วว่า วิสัยหญิงนี้ ถึงจะมีปัญญาเฉียบแหลมสักเท่าไร สติก็ยังอ่อนอยู่ ผิดใจนักก็ถือแต่วู่วามมิได้คิดอื่นลบล้าง นางนันทะวดีก็ว่า ท่านนั้นเขารู้จักกันสิ้นว่าช่างเจรจาแลที่เป็นแม่สื่อเรื่องนี้นั้น คิดว่าเรารู้ไม่ทันหรือว่าจงใจจะหยามกันเล่น โดยแสร่งทำเป็นโง่ ข้าพเจ้าจะถูกเป็นคนหย่อนสติด้วยเหตุใด จะเด็ดตอบว่า การใดเป็นหน้ที่ข้าพเจ้า ๆ ก็คิดเป็นหน้าที่มิได้เอาเหตุอื่นมาปะปนคิด เหมือนที่เป็นสื่อสอพินยา มาวันนี้ก็โดยหน้าที่ที่เป็นคนคอยให้ความสะดวกแก่ท่านราชฑูต แม้นข้าพเจ้าขัดเขาเสียแล้ว ไหนเลยสอพินยาจะบอกความนางโดยสะดวกได้ บัดนี้ข้าพเจ้าทำหน้าที่ผู้ให้ความสะดวกแก่สอพินยาครบถ้วนแล้ว ยังเหลือแต่หน้าที่ของตัวซึ่งยังไม่มีช่องจะออกปาก แต่ท่วงทีพูดไปจะไม่เหมาะแล้ว ธิดาทกะยอดินสงสัยใจนักถามว่า หน้าที่ของท่านมีเป็นประการใดเล่า หรือว่าที่ได้พูดไปแล้วยังทำให้ข้าพเจ้าเจ็บใจน้อย จะว่าอย่างใดให้ยิ่งไปอีกหรือ

            จะเด็ดว่าในหน้าที่เป็นผู้สุจริตกับท่านขุนวัง ข้าพเจ้าจะขอทัดทานท่านถ้าท่านจะรับรักของทูตมอญ แลข้าพเจ้าพอใจในหน้าที่หลังนี้มากกว่าคราวแรก จึ่งหมายใจไว้ว่า ถ้าหากท่านยอมรับรักสอพินยาตั้งแต่ข้าพเจ้าบอกท่านคราวแรกเมื่อครู่นี้แล้ว ข้าพเจ้าจะนำความนี้ไปฟ้องบิดาท่าน หากบิดาท่านไม่ติดใจชำระแล้ว ข้าพเจ้าก็จะชำระทางฝ่ายเจ้าสอพินยาเสียเอง นางนันทะวดีคลายโกรธแล้วถามว่า ซึ่งท่านมาเจรจาแทนปากเจ้าสอพินยานั้น มิได้รับเขามาด้วยสมัครใจดอกหรือ จะเด็ดว่าจริงแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าจะใจดำอำมหิตกับตัวเองด้วยการชักจูงบุตรนายท่านให้ไปใฝ่กับชายอื่นนั้นทำมิได้แล้ว แลข้าพเจ้าจะเป็นสื่อท่านให้แก่ใคร ผู้นั้นก็ชอบแต่จะต้องเป็นคนที่ข้าพเจ้ารักเสมอกับที่รักตัวเอง นางนันทะวดีฟังเอาว่าจะเด็ดพูดเป็นนัยกิยนดี แล้วเจ้าหนุ่มถามว่าการนี้ท่านเห็นควรจะให้ข้าพเจ้าตอบสอพินยาอย่างไร ธิดาทกะยอดินว่าสุดแต่ท่านเห็บขอบเถิด จะเด็ดจึ่งกลับไปหาสอพินยา ครั้นจะบอกตามกิริยานาง เกรงทูตมอญจะเสียน้ำใจ จึ่งพูดคลุมไว้ว่านางอ้ำอึ้งอยู่แต่ท่วงทียังไม่แลเห็นช่องเป็นต่อ สอพินยาไม่รู้ใจจะเด็ด ขอบใจแล้วว่า เมื่อท่านช่วยเราก็ปีติว่าคงสมคะเน ส่วนจะช้าหรือเร็วนั้นฝากไว้กับความพยายามของท่านด้วย จะเด็ดนิ่งเสียไม่ตอบความใด

 

ตอนมังตราร้อนรัก

            รุ่งขึ้นอีกสองวัน มังตรามาเยือนจะเด็ดถึงเรือนทกะยอดินอีก ผู้คนทั้งหลายรู้จักแล้วก็กลับชื่นชมบารมี สรรเสริญว่า พระราชบุตรไม่เป็นคนถือตัวว่าจะเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ต่อไปข้างหน้าการคะนองของพระราชบุตรนั้นกลับผลิผลที่เรียกเอาความจงรักจากคนในบ้านขุนวังมากขึ้นกว่าธรรมดา แต่วันนั้นมังตรายับยั้งอยู่นอกหอนั่ง ให้คนไปแจ้งก่อนว่าบัดนี้มังตราชาวตองอูมา ขออนุญาตจะย่างขึ้นไปเยี่ยมธิดาเจ้าบ้านบนเรือน ธิดาทกะยอดินทราบแล้วรีบออกมาเชิญด้วยตัวเอง แลรับรองควรแก่ฐานะพระราชบุตร แต่นางนันทะวดีกลั้นความขันมิได้จึ่งว่า เมื่อวันก่อนแม้นพระเจ้าอยู่หัวองค์น้อยของข้าพเจ้าเรียบร้อยดั่งนี้แล้ว ไหนเลยจะก่อความกาหลให้เกิดขึ้นทั้งบ้าน ทั้งข้าพเจ้าก็คงไม่ต้องถูกตำหนิว่าเป็นคนไม่รู้ถนอมศักดิ์ของชาวตองอูดั่งที่ถูกตำหนิเมื่อวันนั้น มังตราหัวเราะเอาแล้วว่า ข้าพเจ้ามาวันนี้มิใช่จะมาปากกล้าตำหนิใครต่อใครเช่นวันก่อน ความตั้งใจข้อใหญ่ที่มานั้นก็โดยสำนึกว่าผิด จึ่งมาขอยอมตัวให้ธิดาท่านขุนวังพิพากษาโทษหนักเบาตามเชิงชั้นความผิดตัว นางนันทะวดียิ้มแล้วว่า เมื่อพระองค์รู้ผิดแล้ว ข้าพเจ้าก็จะพิพากษาโทษให้นั่งวางสง่าอยู่บนตั่งนั้น คอยรับคารวะการจากเด็กเด็กหญิงชาวเมืองตองอูอันมีน้ำใจกตัญญูต่อเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเมงกะยินโยโดยเต็มเปี่ยม มังตราฟังแล้วตริในพระทัยว่า ลูกสาวทกะยอดินผู้นี้เจรจาเฉียบแหลมเป็นที่น่าสนิทเสนหาอยู่ ฝ่ายนางนันทะวดีรู้น้ำพระทัยพระราชบุตรว่าใคร่จะสนทนาด้วยจะเด็ด จึ่งให้คนไปเชิญตัว แต่จะเด็ดผัดว่ายังติดการอยู่ ต่อสักครู่จึ่งจะมาได้ นางนันทวะดีก็นั่งสนทนากับมังตราสืบไป

            ทั้งสองยังไม่สนิทสนมกันดี ความที่เจรจาจึ่งมักหยิบเรื่องน้อย ๆ มาคุยประทังพอให้คลายเหงา ครั้นนานเข้าก็เหไปหาเรื่องจะเด็ดอันเป็นคนกลาง นางนันทวะดีสงบใจฟังอยู่แล้ว ได้ช่องก็ถามถึงจะเด็ดเมื่อครั้งอยู่ในพระราชวังว่า อันจะเด็ดนั้น ท่วงทีก็ไม่น่าจะทำผิดชั้นอุกฤษฏ์โทษ ไฉนจึ่งถูกขับออกมา ข้าพเจ้าฟังจะเด็ดรำพันถึงมารดาแล้วสลดใจอยู่ มังตราเป็นคนซื่อจึ่งเปิดความโดยไม่ปิดบัง งำเสียแต่ความข้อที่ตนเป็นตัวการนำความไปบอกพระราชเทวี และนางนันทะวดีก็ล้วงถามถึงความนัย แสร้งทำทีไม่เชื่อเรื่องตะละแม่จันทรา แล้วว่าความเกี่ยวกับพระราชธิดานั้นไม่น่าเชื่อว่าจะเด็ดจะใจเติบถึงปานนั้น ข้าพเจ้าเกรงว่าจะสงสัยกันโดยไม่สอบความ มังตราเป็นตัวการแลปากโป้งไม่ยั้งคิด พูดหวังแต่จะมิให้โทษของจะเด็ดบาปมาถึงตัว ก็เล่าโดยประหยัดปากว่า ซึ่งพี่สาวข้าพเจ้าพะวงใจในจะเด็ดนั้นเป็นเรื่องแน่แท้แล้ว แต่การนี้ใครใดจะว่าอย่างไรก็ตามเถิด ส่วนข้าพเจ้ามิได้ตำหนิจะเด็ดหรือพี่นางด้วยประการใดเลย นางนันทวะดีก็ว่า น้ำใจพระราชบุตรประหลาดอยู่ ก็เมื่อใครภายนอกว่าจะเด็ดได้ผิดถึงเพียงนั้น ไฉนท่านจึ่งมิได้ลงโทษเอาผู้เป็นตัวการทั้งสองว่าผิดเล่า มังตราหัวเราะแล้วว่า จะเด็ดนั้นน้ำนมมารดาเขาแลน้ำใจเขาสองประการ ก็ทำให้ข้าพเจ้ารักจะเด็ดเหมือนพี่ร่วมท้อง และเรื่องนี้หากจะพูดกันอย่างเที่ยงธรรมแล้วจะต้องเอาตัวเองเข้าเปรียบ เพียงข้าพเจ้าเป็นผู้ชายยังมีความพิสมัยจะเด็ดจับใจถึงเพียงนี้ ฉะนั้นเมื่อสตรีคนใดใกล้ชิดซาบซึ้งถึงอัธยาศัยที่รู้โอนอ่อนเอาใจคนของคนผู้นี้ ก็ชอบจะมีความพิสมัยหนักยิ่งไปกว่าข้าพเจ้าบุรุษเสียอีก ซ้ำข้าพเจ้าประจักษ์ความมีเสน่ห์ตัวของจะเด็ดเพียงนี้แล้ว จึ่งใคร่จะถามท่านว่า ท่านกับจะเด็ดบัดนี้ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่หรือมิใช่ นางนันทวะดีฟังถามเป็นแง่ก็ขวยใจ ตอบเสไปเสียทางหนึ่งว่า จะเด็ดเป็นคนรักงาน ข้าพเจ้านิยมชมชอบแต่วิธีทำงานของจะเด็ด เรื่องนอกกว่างานแล้วจะเคยสนทนากันหามิได้ ฉะนั้นพระองค์อย่าถือเอาความที่เกิดกับคนอื่นใดเมื่อใกล้ชิดจะเด็ดมาวัดกับข้าพเจ้าเลย มังตราเห็นนางกระดากก็สัพยอกซ้ำว่า เป็นบุญของข้าพเจ้าแล้วที่ได้มาปะแม่นันทะวดีก่อนที่จะเด็ดจะยอมรับใช้ท่านจนำด้รับความเอ็นดู นางนันทะวดีทำงอนแล้วว่า แม้นพนักงานใต้บังคับบิดาข้าพเจ้าเป็นคนที่ทำให้คนที่เข้าไปใกล้ชิดถูกเข้าใจดั่งนี้ ต่อแต่นี้ข้าพเจ้ามีกิจจะพูดด้วยแล้วจะวานผู้อื่นพูดต่อ ไม่ขอพูดกับจะเด็ดโดยตรงเอง พอนางพูดต่อตกท้ายคำ จะเด็ดก็พอดีโผล่เข้ามา มังตราจึ่งหัวเราะชอบใจอยู่ แล้วว่า ข้าพเจ้ามาวันนี้ตั้งใจจะทำตัวให้ดี แต่ก็หลวมตัวทำผิดขึ้นอีกแล้วที่ได้ให้บุตรีเจ้าบ้านผูกใจชังพี่ท่าน นางนันทะวดีถูกขับ อดสูก็ลุกวิ่งไปเสีย ปล่อยให้คนทั้งสองสนทนากันตามลำพัง

            พอนางลับกายไปแล้ว มังตราก็ออกปากชมว่าลูกสาวขุนวังอาเราผู้นี้รูปโฉมอรชรอ้อนแอ้นช่างเป็นที่ถูกใจข้าพเจ้า ซ้ำถ้อยคำสำนวนของนางยิ่งตรึงใจเป็นเปลาะสอง พี่ท่านอายุเกินข้าพเจ้ายังจะเห็นคำซึ่งข้าพเจ้าว่านี้เป็นประการใด จะเด็ดรู้ทีว่ามังตราพึงใจนาง จึ่งตอบให้พระราชบุตรสิ้นกังวลในตัวเสียว่า อันกิริยาพาทีของนางแช่มช้อยนั้นจริงแล้ว แต่จะถึงถูกตรึงใจนั้นข้าพเจ้าไม่เคยเป็น ท่านอย่าอนาทรเลย มังตราเห็นจะเด็ดรู้ทันก็สำรวลอยู่แล้วว่า ข้าพเจ้าคนมีหัวใจแรงด้วยธาตุเพลิง หมายสิ่งใดจะค่อยทำค่อยไปเย็น ๆ เนือย ๆ นั้นมิได้ เมื่อตะกี้นี้ ถ้าความกล้าเกิดขึ้นมากอีกสักหน่อยคงได้รู้ดีรู้ชั่วเสียแล้ว จะเด็ดท้วงว่า พระราชบุตรท่านทำดั่งนั้นกระไรอยู่ คราวก่อนก็ก่อความกาหลทีหนึ่งแล้ว ครั้นมาทีสองจะตะกรุมบุ่มบ่ามเอาแต่ได้อีก นางไม่รู้ใจท่านก็แปลว่าท่านทำโดยนิสัยมักคะนอง ค่อยเป็นค่อยไปเถิด อำนาจวาสนาท่านถถึงปานฉะนี้หาควรจะร้อนใจ เมื่อเกิดอยากได้ในสิ่งที่มิใช่ดาวเดือน มังตราก็รู้ว่ารูปการของข้าพเจ้าจะรอหรือไม่รอก็คงเสมอกันนั่นแล้ว เพราะถึงรอไป ๆ ก็ไม่ได้ประโยชน์ ด้วยข้าพเจ้าไม่ชำนาญเชิงพูดหว่านล้อมแทะโลมใคร ได้แต่ว่าเมื่อรักเขาก็ใคร่บอกเขาว่ารักตามประสาซื่อ ดั่งนี้แม้นไม่รวบรัดตัดความเสียขณะนี้ เบื้องหน้าเขาเกลียดความลุกลี้ลุกลนแห่งตนเสียแล้ว แม้จะสำเร็จก็ต้องข่มกันด้วยอำนาจมิใช่จะโดยความประนอมใจ ข้าพเจ้าผิดกว่าพี่ท่านยิ่งนานวันจะยิ่งมีวิธีทำให้ฝ่ายหนึ่งรักแน่นเข้า จะเด็ดเห็นมังตราเป็นคนมุทะลุ ปล่อยลำพังเกรงจะเสียการ จึ่งรับว่า ถ้ากระนั้นไว้เป็นพนักงานข้าพเจ้าจะช่วยท่านเถิด จะเพียรรับใช้ท่านให้สมปรารถนาให้จงได้ พระราชบุตรค่อยบรรเทาใจ แต่กำชับว่า ได้ช่องแล้วให้พี่ท่านเร่งเจรจาเสียวันนี้ รุ่งพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะมาเอาความ แล้วพระราชบุตรถามทุกข์สุขสหายร่วมนมตามวิสัยแล้ว เพลาเย็นลงมังตราก็ลากลับ จัเด็ดจึงสั่งความอาลัยไปยังมารดา

 

ตอนจะเด็ดลิ้นทอง

            ตกเพลาค่ำโอกาสปลอด ทกะยอดินติดราชการในวังยังไม่กลับ จะเด็ดไถลไปยังเรือนขุนวัง แลคืนนั้นเดือนกระจ่างฟ้า แม่นางนันทะวดีชาวสาวใช้ออกมานั่งที่ชานเรือนนอกหอ นั่งร้องเพลงแจ้วอยู่ด้วยเบิกบานใจ จะเด็ดผ่อนฝีเท้ามิให้นางร฿สึก ต่อมาจนใกล้แล้วนางหันหน้ามาพบ ก็หยุดร้องโดยกระดาก แล้วว่าไฉนท่านลอบมาเงียบ ๆ ดั่งนี้ หรือเกรงว่าถ้าได้เห็นตัวแลหยุดร้องเสียก่อน ข้าพเจ้าจะได้รับความอายจากท่านน้อยไป จะเด็ดทำสะดุ้งเหมือนหนึ่งพึ่งได้สติ ตอบเอาโดยกลเจรจาว่า น่าชังตัวของตัวเองเป็นพ้นที่แล้ว ดูหรือตั้งใจเพียงจะเดินอยู่ข้างล่าง หากหูหลงเสียงจึงพาเท้าเดินเรื่อยขึ้นมาถึงนี่โดยไม่รู้ตัว แม้นเป็นที่ขัดความสำราญของท่านประการใดแล้วก็ขออภัยเสียเถิด นางนันทะวดีฟังจะเด็ดว่าแล้วแลหวนคิดไปถึงคำสนทนาของพระราชบุตรเมื่อกลางวันเล่า คำนึงว่าจะเด็ดมีลิ้นเป็นทองดั่งนี้เห็นจะสมด้วยถ้อยคำมังตรา ยามเมื่อในอกนางนันทะวดีก็รู้สึกขึ้นเองดั่งนี้แล้ว ความพัวพันทำให้บังเกิดปั่นป่วนขึ้นในใจก็ให้นึกเก้อเขินอย่างที่ไม่เคยเป็น ต่อจะเด็ดขออภัยซ้ำแลออกปากลาจึงหักคว่มประหม่าแลเจรจาตอบว่า ท่านมาที่นี่หลายครั้งแล้วไม่เคยปรากฏว่าได้ทำเสมือนกระดานเรือนข้าพเจ้าปิดอยู่บนปากเตาไฟ หรือว่าท่านรำคาญเสียง ข้าพเจ้าก็หยุดส่งเสียงร้องอันหาความไพเราะมิได้แล้ว ยังจะมีสิ่งใดเหลือไว้ให้ท่านรำคาญอีกเล่า จะเด็ดว่า ที่ข้าพเจ้าลาท่านนั้นหาใช่ด้วยเหตุอื่น เป็นอุบายสำหรับจะลวงท่านให้เข้าใจว่าข้าพเจ้าไปแล้วจะได้ร้องเพลงใหม่ แลข้าพเจ้าจักย้อนกลับมาซุ่มพักอยู่ใกล้บำรุงใจตัวให้รื่นเพราะเสียงร้องของท่านอีกดอก ธิดาทกะยอดินฟังยอต้องอารมณ์อยู่ แต่พูดถ่อมตัวเป็นทีแล้วเชิญให้จะเด็ดนั่ง แลแสร้งขับคนใช้ไปทำงานอื่นเสีย

            มาตรจะนั่งอยู่สองต่อสอง จะเด็ดมิได้มีจิตคิดอย่างอื่น คิดแต่จะเร่งรัดทำประโยชน์ให้มังตราเสียให้สำเร็จไป จึงย้อนถามเอาความที่นางสนทนากับพระราชบุตรเมื่อกลางวันเป็นเรื่องนำก่อน ฝ่ายนางนันทะวดีตั้งใจอยู่แล้วที่จะรื้อเรื่องตะละแม่จันทรามาฟังความคนผู้นี้ จึงตอบตามตรงว่า จะฟังคำตอบดั่งนี้ก็สะดุ้งแล้วว่า เหตุไรมังตราจึงเอาความนี้มาเจรจา แลพระราชบุตรได้บอกท่านอย่างไรวานเล่าให้ข้าพเจ้าฟังโดยละเอียดเถิด นางนันทะวดีว่า ทั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของพระราชบุตรดอก เป็นโดยข้าพเจ้าไม่รู้ความก็ถามถึงความผิดท่านโดยหมายใจ ถ้าสบช่องก็จะเป็นทนายแก้ แต่บุญท่านมากหลาบแล้ว พระราชบุตรจึ่งกลับเป็นทนายแทนท่านเสียเอง มิหนำซ้ำยังยกย่องว่าท่านนั้นทั้งตัวเพียบด้วยความซื่อ ลงใครได้คบหาความรักแลนับถือท่านก็จะเกาะกินใจลึกเข้าทุกที พระราชบุตรเองก็นิยมท่านจึงถึงกล้าออกปากว่า หากพระพี่นางจะเลื่อมใสในคุณงามความดีของท่านก็มิใช่ของแปลก ฉะนั้นเรื่องที่เราพูดกันแม้จะเกี่ยวกับท่าน เราก็พูดกันแต่ความที่เป็นมงคล จะได้กล่าวล่วงล้ำเกินเลยประการใดหามิได้เลย จะเด็ดจึ่งว่า ถึงกระนั้นมังตราก็ไม่ควรจะนำเรื่องนี้มากล่าวให้ยาวความ และซ้ำยกยอกันจนเกินหน้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นคนดีถึงปานนั้นแล้ว จะต้องโทษโพยระหกระเหินดั่งนี้แลหรือ นางนันทะวดีว่า พระราชบุตรสรรเสริญความซื่อสุจริตของท่านนั้น ข้าพเจ้าเห็นควรแล้ว จะว่ายกย่องจนเกินหน้าอย่างไรได้ จะเด็ดก็ว่า แล้วตรงข้อที่มังตราว่าใครได้มาคบหาข้าพเจ้าแล้วก็เกิดรักจับใจมากขึ้นทุกทีนั้น ข้อนี้ยังเป็นความจริงที่เกิดกับท่านด้วยหรือไร นางนันทะวดีกระดากนัก ก็ใส่ไคล้ทำทีเป็นเคืองว่า แม้นท่านขืนพูดเช่นนี้อีกข้าพเจ้าจะหนีไปเสีย เจ้าหนุ่มก็ว่า ข้าพเจ่ยังรักจะพูดกับท่านจะยอมเปลี่ยนเรื่องสนทนาแล้ว ขอท่านอย่าเพิ่งไปเลย นางนันทะวดีตอบโดยอารมณ์ไม่สิ้นงอนว่า ท่านจะพูดอย่างไรก็พูดเถิด

            จะเด็ดจึ่งว่า เรื่องที่ข้าพเจ้าจะพูดนี้บางทีจะไม่ระคายหูท่านดอก ด้วยเป็นเรื่องน่าได้ยินได้ฟังอยู่ครัน คือพระราชบุตรไว้ธุระหนึ่งให้ข้าพเจ้ามาทำ มิใคร่ครวญแล้วเห็นตัวเองคงทำคุณเจ้านายมิได้ตลอด จึงออกปากพึ่งท่านอีกต่อหนึ่ง หากท่านรับธุระแล้วการสำเร็จง่ายดายเป็นแน่แท้ นางนันทะวดีฟังหว่านล้อมกระนั้นสนเท่ห์หนัก แต่หากตกปากรับโดยยินดี

            จะเด็ดขอบคุณเป็นอันดีแล้วก็ว่า บัดนี้มังตราพระราชบุตรเกิดมีจิตพิศวาสในรูปลักษณะจริตแห่งธิดาท่านทกะยอดินเข้าแล้ว แต่อัดอั้นตันอกอยู่ไม่กล้าบอก ครั้นวานข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้าก็เกรงนางบอกไม่สนิทปากด้วยตัวเป็นชาย ฉะนั้นจึงบ่ายหน้ามาขอพึ่งแรงแม่นายนันทะวดีท่าน เพราะเห็นเป็นหญิงเพศเดียวกัน จะว่าขานแนะนำอย่างไรคงได้น้ำหนัก แลข้าพเจ้าขอวอนท่านได้ช่วยรู้เห็นเป็นใจในการนี้ แม้นว่าคำอ้อนวอนของข้าพเจ้าค่าน้อย ท่านมิเห็นด้วยก็ขอให้เห็นแก่หน้าพระราชบุตรเถิด ขณะจะเด็ดกล่าวความนี้ วางหน้าตาเป็นปรกติเฉยเสมือนหญิงที่ตนพูดด้วยนั้นเป็นแม่สื่อตัวแทน มิใชธิดาทกะยอดินเอง นางนันทะวดีไม่เคยยินดีด้วยพระราชบุตร ก็ทั้งโกรธทั้งอายเจ้าพนักงานวังผู้น้อยใต้บังคับบิดาตัว ซ้ำเห็นจะเด็ดเจรจาไม่ฉลาดก็ยิ่งเกิดหมั่นไส้เพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่ง แต่ข่มใจเสียแล้ว ตอบโดยหน้าตาเฉยดุจเดียวกับจะเด็ดว่า การนี้ข้าพเจ้าไม่อาจรับธุระท่านได้ก็โดยเกรงความเสียหายจะเกิดกับท่าน ในข้อที่ธิดาทกะยอดินจะตราชื่อว่าจะเด็ดมิได้คบนางโดยใจซื่ออย่างเคยพูดไว้ เพราะคนผู้นี้นนำความชนิดนี้มากล่าวกับนางถึงสองครั้งสองหนแล้ว เจ้าหนุ่มก็ว่า การแนะนำผู้หญิงให้มีคู่ไม่เห็นจะเป็นว่าคิดทรยศตรงที่ใดเลย อนึ่งคนที่ข้าพเจ้าแนะนำจะว่าชั้นลดรองคอก็เป็นถึงอนุชาพระเจ้าหงสาวดี จะว่าไปก็ละม้ายนำเพชรมาบอกยื่นให้นางโดยแท้ ยิ่งบัดนี้ ข้าพเจ้านำน้ำใจมังตรามากล่าว ก็จัดว่าเป็นการส่งเสริมบารมีนางให้สูงขึ้นอีก ควรจะต้องว่าใจคดกับนางโดยสถานใดเล่า นางนันทะวดีจึงว่า ท่านประมาณใจสตรียังรู้มิได้จบ วิสัยหญิงพอขึ้นชื่อว่าเพชรก็หูผึ่งทะเยอทะยานอยากได้นั้นจริงแล้ว แต่ส่วนผู้ชายที่เขารักนั้นเขาจักได้ประมาณราคาว่าเป็นเพชรหรือพลอยหุงหาไม่ดอก ขอแต่ต้องอารมณ์น้ำใจกลมเกลียวกันเป็นข้อใหญ่ มาตรว่าประจักษ์แก่ตาว่าแก้วธรรมดาก็ปรารถนาเสียยิ่งกว่าเพชรราคาค่าควรเมือง จะเด็ดเอย ข้าพเจ้าน้อยใจตัวเป็นหญิงจนใจไม่อาจพูดได้ตามอารมณ์ตัว อัดอั้นเหลือทนน้ำตานั่นดอกจะต่างถ้อยคำ ผิดกับท่านซึ่งมีปากไว้พูดก็พูดไปโดยไม่ต้องวิตกว่าคนฟังจะเจ็บช้ำ แม้นท่านคือพระพุทธรูปองค็น้อยในหอพระทางเรือนด้านโน้น ข้าพเจ้ายึดอาเป็นผู้ฟังความในอกข้าพเจ้าแล้วไซร้ ท่านก็คงจะใจอ่อนเอ็นดูไม่กล้านำเรื่องราวของชายอื่นใดมากรอกหูแลใจข้าพเจ้าเป็นแท้ ฉะนั้นสืบแต่นี้ไปภายหน้า หากท่านรักจะเห็นความแจ่มใสปรากฎที่ตัวข้าพเจ้าน้องหนึ่งแล้ว ก็ขออย่าได้ริทำตัวเป็นพ่อสื่ออีกเป็นครั้งที่สามเลย จะเด็ดเห็นท่วงทีนางขึงขังมั่นคงก็ไม่อาจพูดหว่านล้อมถึงเรื่องมังตรา ไดแต่พูดลอย ๆ ว่ากระนั้นมิใช่บุญของพระราชบุตร แล้วข้าพเจ้าจะไม่กล่าวความนี้อีกสืบไป แลถ้ามังตราภักดีท่านจริงจัง ก็จะแนะให้พระราชบุตรพยายามเอาเองแต่คำใดได้พูดผิดใจท่านแล้ว อภัยเสียเถิด นางนันทะวดีว่า ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะมีโทษอะไรมาถือท่านได้ เพราะทุกวันนี้ก็นับถือท่านจนความถือโทษไม่มีเหลืออยู่ในอกตัว แต่คืนนี้ข้าพเจ้าเสียใจที่พบท่านมิได้รับความเบิกบานเหมือนที่คาดคะเนไว้ ฉะนั้นขอท่านปล่อยให้ข้าพเจ้าลากลับไปข้างใน จะอยู่สงบประสบอารมณ์ข้าพเจ้า อย่าว่าละท่านให้นั่งคนเดียวผิดลักษณธเจ้าบ้านเลย จะเด็ดฟังคำทั้งสิ้นของนางแล้วสะดุดใจฉุกคิดว่าธิดาขุนวังเจรจาความเป็นเงื่อนงำประหลาดนัก การปัดไมตรีพระราชบุตรก็ดูพูดโดยสุจริตอยู่ แต่รำพันความน้อยใจนั้นยังฟังไม่ออกว่าด้วยเหตุผลกลใด หากปล่อยให้นางกลับขณะนี้ก็จะพกความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันไว้ตลอดจำเราจะสอบถามเสียให้จะแจ้งก่อน แล้วจะเด็ดก็ออกปากท้วงไว้ยังมิให้กลับ นางนันทะวดีถามว่า ธุระท่านยังไม่หมดอีกหรือ ๆ ว่ายังจะทำตัวเป็นพ่อสื่อของผู้ใดสืบไป

            จะเด็ดเชิญโดยสุภาพแล้วแลวอนให้นั่งนิดหนึ่งก่อน นางนั้นก็ไม่ปลงใจยอม ต่อเจ้าหนุ่มยึดชายเสื้อแต่เบามือไว้ นางนันทะวดีไม่อาจขัดก็ทรุดตัวนั่งลงตามเดิม จะเด็ดจึงยึดชายเสื้อหาปล่อยไม่ ส่วนธิดาขุนวังนั้นมีใจเหมือนหนึ่งถูกมนต์สะกด แล้วทั้งคู่ถ้อยทีถ้อยอ้ำอึ้งกันอยู่

            กล่าวถึงเจ้าสอพินยาทูตกรุงหงสาวดี จำเดิมแต่วานจะเด็ดไปเจรจาความรักแก่นางนันทะวดีแล้ว มิได้ความชัดว่านางจะผูกสมัครรับรักตนบ้างหรือประการใดก็ให้มีใจเร่าร้อนกระวนกระวายอยู่ จนเพลาคืนนั้นแสงเดือนเผาใจประการหนึ่งแล้ว แลเสียงหญิงที่ตัวมั่นหมายรักยังเป็นทีไพเราะโหยหวนดังมาจากเรือนโน้นจับใจอีกประการหนึ่งเล่า เจ้าสอพินยาทวีความปั่นป่วนเป็นที่สุด ก็ฉวยแพรดำขึ้นมุ่นผมแล้วเดินดุ่ม ๆ ลงจากสำนักตน ใกล้จะถึงเรือนท่านขุนวังพอแลเห็นตัวเจ้าของเสียง สอพินยาก็หยุดชมยืนตะลึงลานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ผู้เดียว ต่อสักครู่ขยับตัวจะขึ้นไปหาแล้ว เห็นร่างคนจู่เข้าไปใกล้ ครั้นด฿ซ้ำจำได้ถนัดว่าจะเด็ด สอพินยาก็สงบนิ่งดูอาการต่อไป กิริยาคนทั้งสองสนทนากันนั้นสอพินยาก็เห็นสิ้น แต่เพ่งยังไม่ถนัดว่าจะพูดโดยงานหรือประการใด แต่ครั้นจะเด็ดยุดชายเสื้อ สอพินยามองแต่ไกลแสงสว่าน้อยเห็นขวักไขว่ก็นึกว่าการจับมือถือแขนได้เกิดขึ้นแล้วจึ่งให้ดาลใจ กระแอมส่งเสียงขัดคอไว้ชั้นหนึ่งก่อนแล้วรีบสาวเท้าขึ้นไป จะเด็ดวางมือแล้วแม่นันทะวดีก็เขยิบออกห่าง

            อนุชาพระเจ้าหงสาวดีระงับสติเรียบร้อย แสร้งทำดั่งว่าหารู้ชี้ไม่ ธิดาขุนวังก็เชิญให้นั่งและสนทนาบังสีหน้าด้วยเรื่องมิเป็นเรื่อง ครู่หนึ่งสอพินยาจึ่งวางอุบายจะขับจะเด็ดให้พ้นไปเพื่อตนจะได้อยู่กับนางตามลำพัง จึ่งแสร้งพูดเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ว่า เมื่อตะกี้ท่านรานองชาวแปรตามหาตัวท่านวุ่นอยู่มิรู้ว่าจะธุระด้วยการใด แลเจ้าสอพินยาเกรงจะเด็ดจะอิดเอื้อนอยู่ไม่ไปทันที จึ่งสั่งสำทับว่า วานท่านบอกรานองด้วยว่า คืนนี้อย่าเพิ่งนอนแต่หัวค่ำนัก เอนเล่นคอยข้าพเจ้าครู่หนึ่งจะกลับไปสนทนาด้วย จะเด็ดรู้ทันความคิดก็ขุ่นในใจ ตริว่าอ้ายฑูตมอญผู้นี้คงจะเห็นดีกัน มันเข้าใจเราเป็นก้างขวางคอมีนฉะนี้ ก็ทำเสียให้สมจริง คิดดั่งนั้นจะเด็ดทำเป็นรับคำสั่งโดยนอบน้อม บอกลาแม่นันทะวดีแล้วลุกขึ้นจะกลับ ธิดาขุนวังก็มองด้วยใจอาลัย แลเกหรงการอยู่สองต่อสองกับเจ้าสอพินยา เพราะเจตนานั้นแจ้งอยู่ชัดแล้ว แต่จะออกปากท้วงจะเด็ดไว้ก็ไม่งาม จะเด็ดมองอาการนางก็แจ้งในที ประกอบกับจะแกล้งแก้ลำฉลาดของสอพินยาด้วย จึ่งตะโกนเรียกคนใช้ในเรือนมาแล้วดุว่า ดูหรือท่านสอพินยามาดั่งนี้ ไฉนพวกเจ้าจึ่งละเลยหน้าที่มิได้จัดน้ำและเครื่องรับรองทั้งปวงคอยนั่งใกล้ฟังว่าท่านจะใช้สอยสิ่งใดตามระเบียบ แลคราวนี้เราจะอดใจไว้ทีหนึ่ง แต่ถ้าต่อไปเรารู้ความว่า ขณะที่พระอนุชาพระเจ้าหงสาวดีมายังเรือนนี้ หามีพนักงานเอาใจใส่ไม่แล้ว เราจะบอกให้ขุนวังลงอาญาเอาให้จงหนัก พวกข้าในบ้านรักแลกลัวจะเด็ดเป็นอันมากก็พากันนั่งเสนอหน้าสลอนอยู่ตามคำ สอพินยาเห็นทางซึ่งคะนเว่าจะเดินได้แต่กลับถูกปิดเสียดั่งนี้ก็แค้นแทบคลั่ง โกรธจนระงับไม่อยู่ ส่วนนางนันทะวดีทราบชัดว่าจะเด็ดนั้นสั่งการทั้งนี้เพื่อนางก็ยิ่งพอใจพนักงานผู้น้อยขึ้นอีกเป็นอันมาก

            ครั้นจะเด็ดไปแล้ว เจ้าสอพินยาก็เลียบเคียงถึงคนผู้นั้นว่า อัรจะเด็ดผู้นี้ชะรอยจะสร้างกุศลไว้แต่ชาติปางก่อนมากมาย ด้วยหน่อเนื้อเชื้อตระกูลของเขาก็มิได้โอ่อ่าผ่าเผย แต่จะเข้าไหนก็ได้รับความกรุณาเกินตัว จนว่าถ้าข้าพเจ้าจะเป็นตัวจะเด็ดเสียได้ ดูเหมือนจะพอใจกว่าเป็นน้องพระเจ้าหงสาวดีดั่งนี้อีก นางนันทะวดีฟังก็รู้ว่าสอพินยาพูดเสียดแทง จึ่งกลบเกลื่อนว่า ท่านว่าดั่งนี้เหมือนเศรษฐีผู้มิรู้อิ่มทรัพย์ คนทั้งปวงย่อมเทียบเคียงถูกว่าจะเด็ดเป็นรองมากกว่า เป็นต้นว่าท่านจะเข้าใกล้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเมื่อใดก็ย่อมได้ ต่อเวลาชุมนุมสันนิบาตนั่นแล้วจึ่งประจักษ์ว่า ท่านเด่นกว่าเหมือนเดือนยิ่งกว่าดาว ท่านยังจะน้อยใจอีกหรือ สอพินยาก็รู้ว่า อันเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนั้น แม้ได้เข้าใกล้มีหน้ามีตาก็เพราะคนอื่นชมบารมีตัวดอก ส่วนใจตัวจะได้พลอยชุ่มชื่นเหมือนหนึ่งได้ใกล้สตรีที่ตัวพอใจก็หาไม่ อย่ามองให้อื่นไกลไปเลย เช่นตัวข้าพเจ้าเองขณะที่นั่งบนชานเรือนน้อย ณ บัดนี้ก็รู้สึกระเริงใจเสียยิ่งกว่านั่งอยู่ในท้องพระโรงกรุงหงสาวดีเบื้องหน้าหมู่เสนาอำมาตย์ทั้งหลายนั่นอีก นางนันทะวดีเห็นสอพินยาเพียรจะไต่มาหานางก็แสร้งทำรู้ไม่ทันทำสรวลเสสนทนาไปเสียทางอื่น สักครู่พอดีขุนวังกลับ นางนันทะวดีปลีกตัวเข้าเรือนเสีย ปล่อยให้สอพินยาโต้กับตัวขุนวังพอเป็นกิริยา

            พอทูตมอญกลับถึงที่พัก จะเด็ดก็ออกมารับหน้าแล้วว่า อันชาวเมืองแปรนี้ช่างชั่วนัก พูดอะไรแล้วเหลวไหลเลือนเลอะไม่ได้ศัพท์ ตามที่ท่านสั่งว่ารานองเรียกหาข้าพเจ้านั้น รานองมิได้รับตามคำท่าน ฉะนั้นรานองจะสั่งความใดไปถึงข้าพเจ้าอีกแล้ว ท่านจงกวาดขันเอาถ้อยคำให้แน่ แล้วเราจะได้ช่วยกันหัวเราะเป็นที่สนุกชอบใจอยู่ สอพินยาไม่อาจตอบประการใดพลอยหัวเราะแล้วหลบเข้าห้องของตัว

 

 

ตอนทูตมอญกำเริบ

       ฝ่ายพระเจ้าเมงกะยินโยนั้น แพทย์หลวงพยาบาลประคบประหงมพระอาการทุเลาขึ้นพอจะเดินเหินลุกนั่งได้บ้างก็ดำริจะสมโภชเพื่อสะเดาะเคราะห์เป็นการใหญ่ข้างมในวัง ประจวกับวันธรรมสวนะกลางเดือนสิบสอง ซึ่งจะมีพระราชพิธีลอยประทีปกลางคืน แต่ในตอนเช้าวันนั้นพระเจ้าอยู่หัวตรัสให้นิมนต์พระเถราจารย์ แลบรรดาพระภิกษุชั้นานาเข้ามารับบาตรจำนวนเท่าพระชนมายุ แล้วทรงพาพระประยูรญาติทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในออกถวายบิณพบาตรทาน สอพินยามีศักดิ์เป้นน้องพระเจ้าหงสาวดี พระเจ้าตองอูก็ถือกังเองว่าเหมือนเป็นลุกหาน จึ่งรับสั่งให้มาร่วมการถวายบิณฑบาตใกล้ชิดพระองค์ ณ โอกาสนี้ ตะละแม่จันทรากับมังตราราชบุตรก็ตามเสด็จพระราชเทวีด้วย สอพินยานั้นชะเง้อชะแง้มองบรรดานางข้างในติชมในใจเรื่อยไปตามประสาคนหนุ่ม

            พอพระราชเทวีนำพระราชบุตรราชธิดามาถวายบังคมพระเจ้าอยู่หัวตามขัตติยประเพณีแล้ว สอพินยาเห็นพระราชธิดาก็พินิจจนตานั้นมองไม่กระพริบ ประหนึ่งจะลืมเสียสิ้นว่า ณ ที่นั้นมิได้มีตะละแม่จันทราแต่ผู้เดียว ชมพลางเจ้าสอพินยาครุ่นคิดอยู่ในใจว่า มาตรแม้นจะเลือกหยิบเอาแต่สิ่งที่ดีงามของบรรดาเหล่าอิสตรีในเมืองหงสาวดีมาปั้นรวมกันเข้า ก็คงไม่งามเท่าธิดาพระเจ้าตองอูผู้นี้ ถึงนางนันทะวดีว่างามเป็นที่น่าพึงพิศอยู่แล้วจะเปรียบด้วยตะละแม่ผู้นี้ก็ยังหามิได้ แล้วสอพินยาก็ไม่เป็นอันดูอื่นก่นแต่ตั้งตาชม

            ครั้นมังตราหันมาพบ สอพินยาหมายใจจะประจบยึดไว้เป็นหนทางก็ละความทะนงตัวว่าแก่อายุกว่าเสีย กระพุ่มมือขึ้นถวายบังคมพระราชบุตรเป็นอันดี ส่วนมังตรานั้นธรรมดาหาผูกพยาบาทใครไม่แล้ว แลยิ่งตนเป็นฝ่ายล่วงเกินเจ้าสอพินยาเมื่อครั้งนั้นก็อยากจะแสดงความอ่อนน้อมเพื่อผูกพันใจกันไว้ไม่ให้เกิดอริ จึ่งเชิญทูตมอญมานั่งใกล้ ๆ กัน แลสอพินยาเคยเฝ้าพระราชเทวีมาหลายคราว แล้วพระราชเทวีก็ถือเป็นกันเองเหมือนน้ำพระทัยพระเจ้าตองอู เมื่อสอพินยามานั่งด้วยแล้วพระราชเทวีก็เจรจาด้วย แลให้ตะละแม่จันทราไหว้เป็นที่รู้จักกับเชื้อพระวงศ์สนิทของพระเจ้าสการะวุตพีไว้ ตะละแม่จันทราก็ปฏิบัติตามคำพระราชมารดา

            เจ้าหนุ่มชาวหงสาวรู้สึกดั่งว่า ใจกำลังจะพองออกมาเกินโครง รับไหว้แล้วก็ชวนตะละแม่จันทราสนทนาด้วยเรื่องทั้งปวงเสียงไม่ขาดปากเลย พระราชธิดาไม่แจ้งใจว่าสอพินยาคิดเกินปกติ ก็สนองถ้อยคำตอบไปตามการ อนึ่งนั้นตะละแม่ได้ข่าวว่าชายคู่ปฏิพัทธ์ออกไปประจำกับทูตผู้นี้ จึ่งเต็มใจสนทนาหวังผิวจะมีโอกาสไถ่ถามความเกี่ยวกับจะเด็ดบ้าง พอดีถึงเพลาพระสงฆ์เข้ามารับบิณฑบาตหน้าพระที่นั่ง พระราชเทวีลุกไปอยู่ข้างพระเจ้าอยู่หัว แลมังตราคนไม่ชอบสำรวมกิริยานั่งไม่ติด ก็แล่นไปทางโน้นทางนี้วุ่นวาย ละสอพินยากับพระราชธิดาไว้ด้วยกัน

            ตะละแม่จันทราถามทุกข์สุขพอเป็นเครื่องนำทางแล้วค่อยเขยิบถามเข้าไปใกล้ที่หมายว่า อันท่านสำนักอยู่บ้านท่านทกะยอดินนั้นยังจะได้รับความสะดวกพร้อมทุกประการหรือ สอพินยาเจตนาจะยอให้ถูกอารมณ์นางก็ชมว่า อันอัธยาศัยของท่านทกะยอดินสมแล้วเป็นขุนนางผู้ใหญ่ของพระเจ้าตองอู ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะทำให้เกิดรำคาญหรือไม่เป็นสุข แม้นข้าพเจ้าไม่มีราชการเกี่ยวพันแล้ว รู้สึกว่าจะตายอยู่แต่ในเมืองตองอู หรือเมืองหงสาวดีก็คงไม่แปลกไปกว่ากัน ครั้นพระราชธิดาก็ถามสืบไปว่า ซึ่งได้ยินว่าทกะยอดินจัดเจ้าพนักงานในพนักงานวังไปประจำท่านกับฑูตผ้เฒ่าชาวแปรนั้นยังจะปฏิบัติการถูกใจท่านดีอยู่หรือ สอพินยาไม่รู้ตื้นลึกทั้งปวง คิดว่าชมคนของเขาเข้าไว้คงไม่เสียหลาย จึ่งว่าพนักงานวังผู้ซึ่งมาประจำอยู่เป็นคนหนุ่มเจรจาการฉะฉานคล่องแคล่ว ข้าพเจ้าเอ็นดูเสมอด้วยคนสนิทของข้าพเจ้าที่ตามมาจากหงสาวดี ดูเหมือนคนผู้นั้นจะเป็นคนสนิทของขุนวังแลศิษย์ร่วมสำนักพระราชบุตรด้วย ตะละแม่จันทราไม่รู้จักอิ่มต่อการจะได้ฟังเรื่องราวของจะเด็ดก็ทำเป็นฉงนว่า พนักงานในกรมวังข้าพเจ้าเคยเห็นหน้ามามากหลาย ขณะที่ในวังประกอบการพิธี แต่ไม่เห็นมีคนไหนพอจะเรียกว่าหนุ่มได้ แลไม่เคยปรากฏว่ามีเพื่อนของมังตราในหน้าที่นี้ คนที่ท่านว่านี้ท่วงทีจะเป็นคนใหม่เป็นแน่แท้ แลไฉนจึงไม่มาด้วยท่านตามหน้าที่ เจ้าสอพินยาตอบว่า การนี้เป็นการข้างในโดยพระกรุณาของพระเจ้าอาข้าพเจ้าจึ่งเข้ามาผู้เดียว แม้ต่รานองชาวแปรในหน้ที่ทูตอีกผู้หนึ่งก็ยังมิได้มา ต่ในคืนนี้การลอยกระทงตามประทีปเป็นพระราชพิธี พนักงานคนที่ว่าคงต้องตามเป็นหน้าที่ประจำด้วย ข้าพเจ้าจะสั่งให้เขาไหว้ตะละแม่ท่านผู้เป็นเจ้านายแห่งเขาโดยตรง ตะละแม่จันทราดีใจนักที่จะได้พบหน้าจะเด็ด แต่เกรงอยู่ว่าจะพบกันไม่สะดวก จึ่งแสร้งว่า อย่าถึงเพียงนั้นเลย ความจริงหาใช่ธุระของข้าพเจ้าไม่ หาควรที่ท่านจะเก็บไปกังวล อีกประการหนึ่งเล่าคืนนี้เป็นพิธีพลับพลาหน้าฉนวนฝ่ายหน้าฝ่ายในต้องแบ่งเขตกันอยู่ ข้าพเจ้าคงไม่มีช่องปลีกตัวมารับไหว้คนของท่านได้ เจ้าสอพินยาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นทีชอบกล แลเพื่อจะลองใจนางด้วย จึ่งแนะทางชวนให้มังตราพาเดิน ถึงแม้จะล่วงล้ำมาถึงฝ่ายหน้าบ้างก็คงไม่เสีย ตะละแม่จันทราใจหมายจะได้ประโยชน์อีกทางหนึ่งอยู่ ก็รับรองว่าจะลองดู สอพินยาไม่เคยรู้ความผูกพันระหว่างจะเด็ดกับพระธิดา คะเนว่าตะละแม่จันทราเห็นชอบตามคำเพราะมีใจเอนมาหาตัวบ้างแล้วในใจนึกขยิ่มอยู่ พอเสร็จการใส่บาตรแล้วพระเจ้าตองอูจะเสด็จขึ้น ตะละแม่จันทราก็บอกลาท่านทูตรามัญ

            ซึ่งสอพินยาคิดจะพาจะเด็ดเข้าเฝ้าพระธิดา ทั้งที่หมู่นี้จะเด็ดจะทำไม่ถูกใจนั้น เพื่อให้สมความประสงค์ของนางอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งนั้นเห็นจะเด็ดเป็นคนเรียบร้อยรู้จักการ ต่อหน้าผู้หญิงเวลาเข้าพระเข้านางคงจะแสดงความนอบน้อมต่อตัวให้เด่นยิ่งขึ้น แล้วสอพินยาจึ่งเรียกจะเด็ดมา ว่าคืนวันนี้ซึ่งท่านจะได้ไปด้วยเราตามหน้าที่ ถ้าแม้นพบพระราชธิดาแล้วให้สำรวมกิริยาแลแสดงคารวะให้จงดีด้วย ตะละแม่องค์นั้นเป็นเพื่อนสนิทของเราอยู่ จะเด็ดฟังแล้วให้สงสัยเป็นกำลัง จึ่งล้วงถามความดูเพื่อให้ชัดว่าท่านนั้นโชคดีเป็นที่สุดแล้ว สมเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่จึ่งได้สนทนาเป็นมิตรสนิทกับพระธิดาพระเจ้าอยู่หัว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าในการพิธีนี้ท่านหาควรจะสอนให้ข้าพเจ้าสำรวมกิริยาไม่ โดยเหตุว่าเราทั้งสองกับตะละแม่พระราชธิดาคงจะปะหน้ากันในระยะใกล้มิได้เป็นแน่แท้ ไหนเลยนางจะละธรรมเนียมมาให้ข้าพเจ้าแสดงคารวะได้ สอพินยาหัวเราะด้วยความทะนงแล้วว่า เรื่องตะละแม่จะผ่านมาพบเราโดยวิธีใดตกเป็นพนักงานข้าพเจ้าเถิด มิใช่เป็นการลำบากนักดอก สำมะหามหาสมุทรอันกว้าง เมื่อจงใจยังข้ามได้ นี่เพียงแต่ลับแลหรือฉากกั้นไว้นิดเดียวพอเป็นที่หมายตาเท่านั้น เมื่อพระราชธิดามีน้ำใจเอื้อจงใจจะพบข้าพเจ้าแล้วหรือจะข้ามเขตมาไม่รอด จะเด็ดฟังแล้วแค้นนักถามว่า ท่านนัดหมายตะละแม่ไว้หรือ สอพินยาเล่าความที่ตนได้สนทนากับตะละแม่เมื่อเช้าให้ฟัง ถึงตอนใดควรเสริมก็เสริมออกไปเพื่ออวดตัวตามวิสัยชาย จะเด็ดฟังทั้งเรื่องจริงเรื่องเสริมแล้วคิดว่าตะละแม่จันทราจะเบนใจออกห่างก็ให้เกิดความเดือดดาลใจเป็นที่สุด แต่สุดรู้จะกล่าวตึงตังอย่างไรได้ จึ่งสู้อัดอั้นไว้แลเลี่ยงไปทำการอื่นเสีย ส่วนสอพินยาจะนั่งนอนยืนเดินก็อมยิ้มอยู่ตลอดวัน

            เจ้าหนุ่มไม่เป็นอันจะประกอบการอื่นได้ ด้วยหมกมุ่นแต่ความที่ได้ฟังจากสอพินยา กลัดกลุ้มเหมือนเพลิงลุกอยู่ในอก หมายใจว่าเป็นตายประการใด คืนนี้จะลอบไปฟังจากปากคำตะละแม่จันทราให้จงได้ จะเด็ดคิดดั่งนั้นแล้วก็อุบายป่วยนอนคลุมผ้าอยู่เพื่อเลี่ยงจะไม่ไปกับสอพินยา

            ตกค่ำเดือนกระจ่างฟ้า แลพอได้เวลาสอพินยาก็เตรียมแต่งองค์โอ่อ่าพิถีพิถัน ครั้นทราบว่าจะเด็ดป่วยก็มิได้เก็บมาเป็นอารมณ์นัก เพราะคิดว่าจะเด็ดไปได้ก็มิใช่การสำคัญ อยู่ที่จะวัดนำใจตะละแม่จันทราว่าจะทำอุบายไถลมาพบตนหรือไม่เท่านั้นดอก

            แต่ตกเพลายามเศษ พระเจ้าตองอูเสด็จลงท่าฉนวน พระญาติวงศืทั้งหลายก็โดยเสด็จด้วย น้ำกำลังเจิ่งเกือบเสมอฝั่ง พวกฝีพายกองเรือต้นลอยลำเห่ถวายกระทงประทีป ทั้งของหลวงของราษฎร์ส่งแสงแพรวพราวไปทั่วท้องน้ำ ตะละแม่จันทราคิดถึงความเมื่อน้อยในเมื่อการพิธีนี้จะเด็ดเคยอยู่ด้วยแล้วก็กระวนกระวายใคร่จะเห็นจะเด็ดเป็นที่สุด ยิ่งคิดว่าขณนี้จะเด็ดจะมากับทูตรามัญอยู่ใกล้กันแค่นี้แล้วก็แทบจะโลดไปยังปะรำด้านหน้าเสียให้ได้ จึ่งแสร้งพูดกับมังตราว่า กระทงฝ่ายเราทางหญิงนี้ เสียทีอบรมการฝีมือเปล่า มิน่าจะน้อยหน้ากระทงฝ่ายโน้นเขาเลย ฝ่ายหน้าประดิษฐ์เป็นรูปหลากๆ ดูงามตาดีนัก น้องเราจงไปขออันที่แต่งงามๆ มาดูเล่นสักครู่หนึ่งมิได้หรือ มังตราตอบว่า ของเขาทำมาจำกัด แลกำลังจะปล่อยลงน้ำไปขอเขามาจะก็กระไรอยู่ ประเดี๋ยวก็จะไหลตามน้ผ่านทางเรา พระพี่นางคอยดูอยู่ที่นี่คงเห็นถนัด ตะละแม่จันทราว่า ข้าพเจ้าเห็นของเขางาม ๆ ก็อยากได้จับด้วยมือบ้าง มังตราพาซื่อจึ่งว่า ถ้ากระนั้นพี่ท่านจงข้ามไปดูที่โน้นเถิด ข้าพเจ้าจะเป็นคนพา ตะละแม่จันทราสมคิดก็เร่งให้มังตราพาไป พระราชบุตรก็เรียกเอานางตองสาข้าหลวงไปด้วยคนหนึ่ง

            สอพินยาคอยเฝ้าการมาของตะละแม่อยู่ทุกลมหายใจ พอเห็นก็ยิ้มดังจะเต้นออกไปรับ พระราชธิดาสอดส่ายนัยน์ตาไม่พบจะเด็ดก็สงสัย ถามเอาว่าท่านมาผู้เดียวหรือ สอพินยาบอกเพียงว่ารานองก็มาด้วย นางไม่พบจะเด็ดแล้วไม่มีอารมณ์จะสนทนา ดูโน่นดูนี่พอเป็นพิธีแล้วก็ชวนมังตรากลับเสีย แต่นางตองสาข้าหลวงนั้นมีบิดาเป็นชาวรามัญ จึ่งชื่นชมยินดีในเจ้ามอญอยู่ครั่น ๆ พลอยเจรจาปั้นจิ้มปั้นเจ๋อด้วยสอพินยา เจ้ามอญดูพระธิดาไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนตอนเช้าก็หลากใจ คั้นเห็นนางตองสาท่วงทีกิริยาหลุกหลิก จึ่งคะเนว่าคบไว้คงพอจะใช้ได้งาน จึ่งลองกระซิบกับนางตองสาว่า ข้าพเจ้ามีธุระจะวานนาง แม้นแม่น้องปลีกตัวมาพบได้ในวันพรุ่งข้พเจ้าจะรางวัลให้สมใจ นางตองสาฟังรู้ทีก็รับว่า พรุ่งนี้ตอนสายได้ช่องแล้วจะมา

            ฝ่ายจะเด็ดนอนซมอยู่นั้น พิษหึงรุมร้อมอู่ในอกยิ่งคิดยิ่งคะเนไกลออกไปทุกที ครั้นตกค่ำทูตทั้งสองไปแล้วก็เตรียมการข้างตัวเป็นอันดี แลรีบขมีขมันเข้าวังลอบไปทางเก่าแต่สะดวกกว่าครั้งก่อน เพราะมีงานคนเที่ยวเตร่เข้าออกเนือง ๆ จะเด็ดลอบเข้าถึงตำหนักพระราชเทวีแล้วยังเงียบอยู่ ด้วยคนโดยมากในตำหนักตามเสด็จยังไม่กลับมา ลอบปีนเข้าไปซ่อนตัวมิดชิดอยู่ในห้องพระราชธิดาได้สะดวก จนเวลาเกือบครึ่งคืนแล้วพระราชธิดาจึ่งเสด็จกลับ ครันเปลื้องเครื่องทรงแล้วก็ขับข้าหลวงออกไปเพื่อจะเข้าพระที่ หะแรกเมื่อเห็นปลอดคนจะเด็ดจะผลุนผลันออกมาระบายความแค้นที่สุมอกตั้งแต่กลางวันแล้ว แต่ครั้นเห็นหน้าคนที่ตัวใจจ่อความแค้นที่มีอยู่ลดลง จะดูเวลายืนเวลาเดินก็ต้องตาไปทุกอิริยาบถ จะเด็ดจึ่งสงบใจลอบดู แลตะละแม่เมื่อขับข้าคนออกไปสิ้นแล้วจะเอนองค์ลงนอน การวันนี้ที่คิดไว้ไม่สมคิดก็รื้อเรื่องราวหนหลังขึ้นคำนึงอีก ความคิดถึงลูกพระนมตัว กลับกำเริบขึ้นดางว่าช่องบัญชรอันแสงเดือนสาดเข้ามานั้น ตะละแม่ตองอูมองคลับคล้ายจะเด็ดยืนอยู่นั่น สุดที่จะสะกดใจนอนอยู่ได้ก็ลุกขึ้นแล้วมายืนเกาะหน้ต่างนิ่งรำพึงอยู่

            จะเด็ดคะเนเป็นว่า ตะละแม่จันทราอิ่มใจถึงที่ได้พบสอพินยามาวันนี้ จึ่งเดินออกมาจากที่ซ่อน พูดประชดแลเพียรทำสำเนียงให้เป็นปรกติว่า เชิญแม่ยอดนารีศรีตองอูผินหน้ามาทางนี้เถิด ข้าพเจ้าสอพินยานำรักมาจากเมืองหงสาวดีมาถวายแล้ว จงรับไว้อย่าให้ข้าพเจ้าเสียใจเลย ตะละแม่จันทราแว่วเสียงก็หันมาดูด้วยความตกใจ แต่มองแน่ว่าจะเด็ดพอจะผวากอด ครั้นได้ยินออกชื่อสอพินยาก็ชงักอยู่ ถึงจะเด็ดจะพูดจบแล้วก็ยังเดาความไม่ออก เจ้าหนุ่งจึ่งกล่าวซ้ำว่า ข้าพเจ้ากล้าดีกับความตาบเล็ดลอดเข้ามาวันนี้ก็โดยจะมาแสดงความยินดีด้วย ที่เจ้านายตัวจะพลอยมีหน้าเพราะได้น้องพระเจ้าหงสาวดีมาเคียงคู่ประกอบบารมี ตะละแม่จันทราได้คิดว่า จะเด็ดคงจับเรื่องนางพบกับสอพินยามาเข้าใจผิดเป็นแน่แท้แล้ว จึ่งว่า ท่านจะว่าคนไฉนไม่พิจารณาให้แจ้ง จู่ ๆ ก็มาปรามาสเหมือนหนึ่งข้าพเจ้าราวกับลูกชาวตลาดดั่งนี้เห็นควรแล้วหรือ จะเด็ดว่า ตัวเราเป็นคนบ้ายอที่มีสติชอบดอก คำยอแต่ไม่เคยยึดแน่นเป็นอารมณ์ เมื่อใดทะนงตัวว่าเป็นพี่ก็ต่อเมื่อรู้ว่าท่านรัก เมื่อใดลดตัวลงมาเป็นบ่าว เมื่อนั้นก็เพราะว่าท่านเลือน ฉะนั้นข้าพเจ้าแสดงความยินดีคราวนี้ก็ในฐานะบ่าวยินดีในความจะเชิดหน้าชูตาแห่งนาย จะว่าข้ะเจ้าปรามาสด้วยเหตุใด ตะละแม่จันทราแค้นนักจึ่งว่า ท่านฟังคว่มรู้แจ้งเห็นจริงแล้วหรือจึ่งกล่าวเหมือนหนึ่งได้ยินกับหูรู้กับตาว่าข้าพเจ้าคบสอพินยามาเป็นชู้ จะเด็ดก็เล่าตามความที่สอพินยาคุยอวดให้ฟังสิ้น แล้วว่า แม้นนางไม่มีใจเอียงไปดั่งนี้แล้วเพียงพบหน้ากันตอนเช้าชั่วเย็นควรหรือจะนัดแนะถ้อยคำกับเข้าดั่งนั้น พระธิดารู้ว่าจะเด็ดตำหนิตนโดยวู่วามก็น้อยใจจนน้ำตาไหลสะอึกสะอื้นอยู่ จะเด็จสรวลเป็นที่หยันแล้วว่า จันทราผู้นี้สมแท้ที่เกิดมาเป็นสตรี มือซ้ายถือตำราว่าด้วยวิธีร้องไห้ จะร้องเมื่อใดก็ย่อมได้ มือขวานั้นเล่าก็กุมตำรับเล่ห์ไว้ประจำตน การแก้เกี้ยวด้วยน้ำตานี้ราคาดีกว่าปาก ทั้งที่ใจกำลังเจ็บอดเวทนามิได้เลย ถ้าการจูบของสอพินยาจะทดแทนน้ำตาตะละแม่เมืองตองอูให้แห้งได้แล้ว ข้าพเจ้าจะจูบจันทราท่านสักครั้งหนึ่ง ฉะนั้นขอท่านจงคิดเสียว่าคนที่จูบเอาปัจจุบันไม่ใช่จะเด็ด สมมติเอาตามอารมณ์ชอบ ถือเป็นอนุชาผู้สูงศักดิ์ของเจ้าอยู่หัวหงสาวดีหนึ่งก็แล้วกัน ว่าแล้วจะเด็ดก็จับแขนนางรั้งตัวมาโดยใจเหี้ยม แลปล้ำปลุกจูบด้วยกิริยามิได้อ่อนโยยดั่งที่เคยมา

            ตะละแม่จันทราร้อง หากมิกล้าร้องออกเสียงดังเพราะเกรงแว่วถึงคนข้างนอกจะได้ภัย ยิ่งดิ้นรนผลักไสเหมือนยิ่งยั่วใจลูกชายแม่เลาชี แลจะเด็ดนั้นจะแค้นพอกพูนอยู่อย่างไรก็ไม่อาจทรมานพระราชธิดาด้วยวิธีอื่น นอกจากหักโหมจูบกระหน่ำเอาไม่ปราณี อารมณ์นั้นเล่าประหนึ่งช้างสารกำลังเมามัน ตะละแม่จันทรายิ่งดิ้นรนกลับถูกรัดรึงหนักก็สิ้นสติอ่อนพับอยู่กับอ้อมกอดแห่งจะเด็ด

            จะเด็เห็นนางมีอันเป็นไปก็ฉุกคิดขึ้นได้ ร่างนางซึ่งละความรู้สึกอยู่ต่อหน้านั้นเตือนความเดิม ได้คิดก็ค่อยคลายแค้นลง อุ้มให้นอนยืดบนพระที่ตามสบายแล้วปลุกสั่นเพื่อให้ฟื้น แล้วรำพันว่า ถึงตะละแม่จะเกลียดข้าพเจ้าฉันใด ในชาตินี้ข้าพเจ้าจะไม่รักท่านนั้นไม่ได้แล้ว ตะละแม่จันทราคืนสติได้บ้าง เห็นอาการเจ้าหนุ่มดังนั้นก็เวทนาความสุจริตอยู่ ด้วยนางประจักษ์ว่าจะเด็ดวู่วามเอาแต่โดยเข้าใจผิด ประการหนึ่งความรักมากเกินความแค้นตะละแม่ก็กอดจะเด็ดเข้าไว้แล้วว่า ข้าพเจ้าตกอยู่ในอำนาจท่นแล้ว แลบัดนี้ความฉุนเฉียวแห่งท่านคลายลง ท่านจะไม่ให้โอกาสวแก่น้องท่านเล่าความจริงให้รู้บ้างหรือ แล้วพระธิดาก็แจ้งการที่ได้พบสอพินยาตลอดอุบายใคร่พบจะเด็ด เจ้าหนุ่มฟังแล้วพิเคราะห์ความเชื่อมั่นตะละแม่ว่าสุจริตก็โสมนัสเป็นที่ยิ่ง ซบกับอกพระราชธิดาแล้วพร่ำขอโทษตัว ตะละแม่จันซากอปรอัธยาศัยงามก็ปลอบว่า ข้าพเจ้าทราบสิ้นแล้วโทสะของท่านนั้นเกิดจากรักเป็นประมาณ ฉะนั้นแม้จะลงโทษหนักเบาผิดถูกประการใด ถ้าเกิดโดยความสุจริตของพี่ท่านแล้ว ข้าพเจ้าก็ยินดีรับโทษนั้น ๆ ทั้งสิ้น จะเด็ดฟังถ้อยคำอันเป็นมธุรสนั้นดื่มใจนักแล เมื่อทั้งคู่หายเข้าใจผิดแล้วก็สนทนากันเป็นอันดี ตะละแม่จันทราพิศรูปจะเด็ดซูบลงก็สงสารแลรู้ว่าคงระทมใจ จึ่งปลอบว่า พี่ท่านจะนั่งคู้เข่าทรมานเช่นนี้อยู่ไย เชิญนั่งให้สบายบนฟูกนี้เถิด จะเด็ดบอกปัดเสียว่า ข้าพเจ้าหาอาจร่วมฟูกเดียวกับน้องท่านไม่แล้ว ด้วยเกรงใจว่าจะไม่อยู่ในอำนาจตัวก็เพียงล่วงเกินเอาอย่างครั้งก่อน ตะละแม่จันทราว่า ท่านนั้นบ่มตัวอยู่ด้วยศิลปะศาสตร์อันสูงคือการยุทธ ซึ่งจะเอาชนะแก่คนนับหมื่นนับแสน แต่ไฉนจึ่งไม่บ่มใจให้เหมือนตนเองตามลักษณะของคนจะเป็นนายคน จะเด็ดฟังตะละแม่เจรจาเป็นหลักฐานก็ยินดี จูบซ้ำแล้วว่า คิดถึงที่ได้สนิทสนมชมเชยนี่แล้วเป็นสัจจะยิ่งแล้ว บางขณะก็น้อยใจตัวของตัวเอง เพราะน้องท่านค่าดีเกินกว่าจะลดตัวมารักข้าพเจ้า อายุน้อยแต่เจรจาความแก่นสารดั่งผู้ใหญ่ อุปมาว่าแผ่นดินในพุกามประเทศเป็นสิทธิ์แก่ข้าพเจ้า ก็ขอเอาวางเป็นเดิมพันแลกเอาตำแหน่งเจ้าของจันทรามาไว้ ฝ่ายตะละแม่จันทราเล่า รสรักก็หม่นไหม้ไม่น้อยกว่า จะเด็ดกอดไว้ไม่วางมือแลว่า ข้าพเจ้ามิได้เป็นสิทธิ์ขาดแก่ท่านก็เฉพาะร่างกายซึ่งสงวนไว้มิให้ผิดประเพณี ส่วนสิ่งอื่นนอกกว่าร่างกายแล้วยังจะเหลือมีสิ่งใดที่มิใช่ของท่านหามีไม่แล้ว จะเด็ดว่า กุศลข้อซึ่งเราได้อยู่ร่วมบนที่น้อยนี่ถึงสองครั้งสองหนแล้วมิได้ปล่อยใจมูมมามเอาแต่ได้ ความดีข้อนี้เทพยดาเบื้องบนคงจะรู้เห็นเป็นสักขีพยาน ข้าพเจ้าจึ่งมานะอยู่ว่าความรักจันทราท่านคงสำเร็จสักวันหนึ่งข้างหน้าเป็นแท้ แลตะละแม่จันทราถามทุกข์สุขของจะด็ด ซึ่งไปสำนักอยู่บนเรือนขุนวัง จะเด็ดก็เล่าความทั้งสิ้นให้ฟัง แต่เรื่องที่เกี่ยวกับนางนันทะวดีนั้น จะเด็ดนิ่งเสีย เพราะเกรงตะละแม่จะระแวงแคลงใจ ครั้นพอใกล้รุ่ง จะเด็ดกล่าวลาด้วยความอาลัย

 

ตอนไขลูเจ้าเล่ห์   

กล่าวถึงสอพินยา กลับมาด้วยความไม่สมคิดในตอนกลางคืนแล้ว ความหวังยังเหลือตรงที่อาศัยนางตองสาข้าหลวงเป็นสะพานก็ตั้งตาคอยอยู่ ตกสายนางตองสามาตามนัด สอพินยาพาไปนั่งสนทนาที่ศาลาในสวนเกือบสุดบริเวณบ้านแล้วก็สนทนาถึงเรื่องส่วนตัวนางตองสาพอเป็นพิธี อันนางตองสานั้นคนเสมอชั้นข้า พอพูดจาก็เสริมจริตจะก้านวางทีกรัตุ้งกระติ้งดีดดิ้นทับทวี ได้พูดจากับผู้ชายหนุ่มด้วย แลเป็นเจ้าด้วยก็เล่นตัวมากขึ้น สอพินยาเป็นคนมีนิสัยมักมากในอิสตรีอยู่ ครั้นดูเชิงนางท่าทีเหมือนปักเป้ากำลังเหลิงก็คะเนในใจว่า ถ้าจะจากนางข้าหลวงคนนี้ไปโดยมือเปล่า ก็เหมือนหนึ่งเกิดมาเป็นชายไม่ครบบริบูรณ์ อาหารใส่สำรับมาเทียบตรงหน้าทั้งที่เจ้าของพอใจอยู่แล้ว หากเราออกปากขอแล้วคลได้ลิ้มรส เป็นการลงทุนเล็กน้อยเบาแรงฉะนี้จะละไว้ดูกระไรอยู่ คำนึงแล้วเจ้าสอพินยาก็เชิญนางตองสาให้นั่งเสมอกัน ครั้นนางตองสาปฏิเสธใส่จริต เจ้าสอพินยาถนัดปากว่ามือถึงจึ่งจับมือขึ้นมาบนศาลา นางตองสาพอถูกมือต้องก็เสมือนปลาฤดูแล้งแลมาได้ฝนสะบัดสะบิ้งเอาแต่พอเป็นกล

            สอพินยาจึ่งว่า การของเราเป็นความลับ จะนั่งพูดกันห่างนั้นประเดี๋ยวจะรั่วไปถึงหูคนอื่น ไหน ๆ เจ้าก็เต็มใจจะรับงานแล้วก็เชิญลุกนั่งให้เป็นกิจจะลักษณะปรึกษากัน จะมัวถดถอยอยู่ห่างนั้นหาควรไม่ ขึ้นมานั่งเสียที่นี่เถิดจะไดเจรจาสืบไป นางตองสาสงสัย ทำกิริยากระฟัดกระเฟียดอยู่แล้วว่า ข้าพเจ้าเติบโตขึ้นมาจากวังนับแต่เกิด ๑๐ ขวบมาแล้ว อย่าว่าแต่ชายอื่นเลย แม้บิดาก็ไม่เคยต้อง ฉะนั้นมือฑูตท่านจับคร่าเอาด้วยกำลังยุดยื้อเหมือนผู้หญิงด้วยกันนี้ก็ไม่เป็นอันสบายใจ สอพินยาจึ่งว่า เจ้าว่าเหมือนใจเรา อันเรานั้นตั้งแต่เกิด ๑๐ ขวบก็ไม่เคยถูกตัวผู้หญิงชาววังดุจกันครั้นมาถูกเข้าก็เกิดตื่นใจ วานเจ้าอย่าสลัดให้แรงนักผลัดให้ข้าจับนิ่ง ๆ พอระงับใจสักประเดี๋ยวหนึ่งเถิด นางข้าหลวงตัวกลั่นค้อนควักตามจริตใส่ไคล้บ่นว่า ใครเขาจะทนบัดสีใจให้จับนิ่งอยู่นาน ๆ ได้ แม้นรู้ว่าจะมาหาเคราะห์ใส่ตัวฉะนี้แล้วก็หาสามิภักดิ์มารับใช้ไม่ สอพินยารั้งตัวนางข้าหลวงเข้ามาใกล้แล้วว่า อันมือผู้ชายนั้นคนที่ไม่เคยถูกมันซาบซ่านเสมอฤทธิ์สุราจอกแรก คือมีทั้งความรู้สึกรสแปลกแลมึน ๆ แกมกัน แต่พอซ้ำจอกสองสามเสียแล้วหัวใจก็ลอยเกินพิ้นแผ่นดินขึ้นไปทุกที ว่าแล้วเจ้าสอพินยาก็ไขว่คว้าเอาตามอารมณ์ นางข้าหลวงก็ส่งเสียงร้องวี๊ดว้ายอยู่ เจ้าสอพินยาเห็นเป็นที่แจ้ง แลนางข้าหลวงยังคงติดพยศอยู่จึ่งเพลามือไว้โดยคอดว่า เพียงเท่านี้ท่วงทีความสำเร็จในตัวนางตองสาก็ดูเหมือนจะล่วงไปครึ่งหนึ่งแล้ว แลเจ้าสอพินยาก็หวนมากล่าวความเรื่องพระราชธิดาแลเกลี้ยกล่อมว่า เชื้อสายเจ้าเป็นชาวรามัญจะมาตายกระดูกถมแผ่นดินในเมืองตองอูไป แม้นเจ้าช่วยธุระเราสุดกำลังแล้วก็จะพาไปเมืองหงสาวดีด้วย นางตองสาจึ่งว่า ข้าพเจ้าไม่ออมแรงในการอาสาท่านดอก แต่เพราะด้วยอัธยาศัยพระราชธิดานั้นเป็นคนหนักแน่นหลักแหลม หากนำความนี้ไปกล่าวโดยไม่ต้องใจนางแล้วอึงขึ้นถึงพระราชมารดา อาชญาจักเกิดกับข้าพเจ้าได้ แต่ในเรื่องนี้ท่านหวังแน่ในตัวตะละแม่อยู่หรือประการใด สอพินยาก็ว่า เราพิเคราะห์กิริยาภายนอกท่วงทีชอบกลอยู่ แล้วเล่าความละเอียดที่สนทนาและนัดปะกันเมื่อตอนเช้าวันวานให้ฟัง แลว่าเจ้าก็เห็นอยู่แก่ตาเอง แล้วที่เมื่อคืนตะละแม่หาโอกาสปลีกตัวมาพบเราตามนัด นางตองสาหัวเราะแล้วว่า ท่านเป็นคนต่างเมืองไม่สันทัดต่อกิริยาพระราชธิดานั้นแม้ท่านเล่าสิ้นโดยไม่เอาชื่อจะเด็ดมาเกี่ยวข้อง ข้าพเจ้ายังพอจะเชื่อบ้างว่าพระราชธิดามีจิตพิสมัยท่าน สอพินยาฉงนนักถามว่า เหตุใดเมื่อมีชื่อจะเด็ดแล้วเจ้าจึ่งไม่เชื่อ นางข้าหลวงว่า เขารู้กันอื้ออึงทั้งฝ่ายในว่าพระราชธิดานั้นผูกใจเสน่หากับจะเด็ดลูกนางนม แลนางตองสาก็เล่าความเดิมให้สอพินยาฟังกระทั่งจะเด็ดถูกอาชญาจากพระเจ้าอยู่หัวก็เล่าสิ้น เจ้าสอพินยาฟังดังนั้นให้เดือดใจยืนขึ้นกระทืบเท้าแล้วพูดโดยแค้นว่า ไฉนเทพยดาจึ่งส่งอ้ายคนผู้นี้มาขวางเราแทบทุกก้าวย่าง สอพินยาคิดแล้วก็ออกจะเห็นจริงตามนางตองสา ที่ว่าตะละแม่จันทราปลีกตัวมาพบนั้น เนื้อแท้โดยอยากพบจะเด็ดเป็นสำคัญ แลอนุชาพระเจ้าหงสาวดีกลัดกลุ้มเป็นอันมากก็มิเป็นอันจะมีใจสนุกด้วยนางตองสาต่อไป รางวัลเงิน ๑๐ แท่งแก่นาข้าหลวงแล้วกล่าวขอบใจไว้เป็นหนทาง แลว่าวันมะรืนนี้ถ้าเจ้ามีโอกาสปลีกตัวมาเยือนเราบ้าง ขณะสบายใจเราคงสนทนากับเจ้าให้เพลิดเพลิน นางตองสารับรางวัลแล้วชม้อยชม้ายเป็นทีอาลัยอยู่ เจ้าสอพินยาดึงตัวนางมาจูบซ้ำเข้าทีหนึ่งแล้วเจรจาฝากไว้ว่า เรานั้นเป็นคนจำมั่นมิได้เลือกไพร่เลือกเจ้า สักแต่ว่าลงใจเอื้อแล้วก็ไม่รู้ลืม นางตองสารู้ว่าเวลาเหลือน้อย จึ่งจริตดัดดิ้นถวายจูบแก่พระอนุชาพระเจ้าหงสาวดีแต่โดยดี แลจากมาแลสมน้ำใจในสอพินยาอยู่

            ครั้นนางตองสาไปแล้ว สอพินยาอยู่แต่ผู้เดียวก็ครุ่นคำนึงว่า แม้นมังตรามากรีดขวางตัวก็ยังไม่เจ็บเท่าด้วยศักดิ์พอทัดเทียมกัน แต่นี้จะเด็ดเป็นคนศักดิ์น้อยแต่ไฉนจึงขวางอยู่ได้ทุกลู่ทุกทาง เปรียบหมากรุกเล่าตัวเหมือนเป็นเรือมีศักดิ์แล่นยาวก้าวสกัดไปได้รอบกระดาน ม้าแลโคนศักดิ์สูงก็ยังกักมิได้ง่าย ๆ แต่บัดนี้มาอับจนเพียงจะเด็ดผู้ต่ำตระกูลซึ่งศักดิ์ ก็เหมือนเบี้ยหงาย คำนึงถึงแล้วแสนจะเจ็บใจ สอพินยากินใจในจะเด็ดตั้งแต่คืนวันคุยด้วยแม่นันทะวดีคราวหนึ่งแล้ว มาคราวนี้ซ้ำเข้าอีกแผลหนึ่งก็คุมแค้นเหมือนงูถูกไม้ย้ำหลัง อาฆาตมองช่องจะปองล้างอยู่ ตรึกตรองไม่ออกว่าจะเอาเล่ห์ใด กลับเรือนที่พักยังนอนครุ่นคิดอีก แต่มองไม่เห็นทางโปร่ง สอพินยากังวลนัก ถึงเวลาอาหารรานองให้ไปตามตัวก็ไม่ลุกขึ้นตามปรกติ ขอตัวว่าไม่สบาย แลวันนั้นสอพินยามิได้เรียกหาหรือพูดจาด้วยจะเด็ดเลย ครั้ยจะเด็ดเข้าไปฟังอาการก็หันหลังให้เสีย

            แลยังมีคนสนิทของเจ้าสอพินยาตามมาแต่เมืองหงสาวดีคนหนึ่งเป็นนายกองทหารดาบฝีมือดี พระเจ้าสการะวุตพีผู้พี่ให้มาพิทักษ์พระราชอนุชา เป็นคนอายุใกล้เรือนกลางคนแล้วชื่อว่าไขลู แลไขลูเห็นอาการทั้งปวงเรียบราบอยู่ทั้งราชการแลส่วนตัวเจ้านายตนได้รับการต้อนรับเป็นอันดี ไขลูจึ่งถือเอาแต่การเที่ยวสนุกมิได้กังวลงานอื่น ครั้นวันนี้ทราบข่าวสอพินยาได้ไข้จึ่งเข้าไปเยือนแล้วถามว่า พระอนุชายังมีอาการเป็นเช่นไร สอพินยาเห็นไขลูมาก็ได้คิด เรียกให้มานั่งใกล้แล้วเอามือจี้เข้าที่หว่างอก แลข้าพเจ้าเจ็บช้ำไปทั่วบริเวณนี้เห็นอยู่ แต่ท่านซึ่งเป็นเพื่อนตายติดตามมาจากหงสาวดี แต่ท่านนั้นตั้งแต่เหยียบชานเมืองตองอูแล้วก็ดูดุจลืมข้าพเจ้าเสีย

            ไขลูขอโทษแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าชั่วโดยมิได้เจตนา เห็นท่านเป็นปกติสุขจึงละเลือนหย่อนใจไปทางอื่นเสียชั่วครู่ ครั้นทราบข่าวป่วยแล้วจึ่งสะดุ้งใจ แต่ดูท่านก็หาซูบซีดผ่ายผอมลงไม่ แลท่านจี้อกเป็นปริศนานั้น จะว่าเกิดเจ็บที่พระทัยในฝีมือแลความตรงอยู่ หากว่ามิเหลือกำลังข้าพเจ้าจะรับรักษาอาการโรคของท่านแล้วท่านจะไม่ยอมบอกเนื้อความเชียวหรือ สอพินยาจับมือไขลูไว้แล้วว่า คำท่านเหมือนหนึ่งถ่ายโรคไปจากข้าพเจ้ากึ่งหนึ่นงแล้ว ส่วนอีกกึ่งหนึ่งนั้นคงหายเพราะสติปัญญาแลฝีมือท่าน แล้วสอพินยาก็เล่าความแค้นให้ไขลูฟังทั้งสิ้นมิได้ปิดบังไว้ แลเสริมว่า ขอท่านเห็นความช้ำใจในอกข้าพเจ้าเถิด เหมือนหมายตาดอกไม้กิ่งใดก็เฉพาะกิ่งนั้นถูกอ้ายศัตรูคนเดียวกันหมายร่วมธิดาทกะยอดินผู้หนึ่งแล้ว ยังปรากฏตะละแม่จันทราอีก เมื่อได้คิดถึงยศศักดิ์อัครฐานแห่งเราใกล้ชิดร่มเศวตรฉัตรถึงเพียงนี้ ยังสู้อ้ายถ่อยหาตระกูลมิได้ก็เจ็บใจนักที่ต้องเป็นรองมัน วานเอาอกข้าพเจ้าไปใส่อกท่านสักพักหนึ่งเถิดจึ่งจะประจักษ์ความแค้นนั้นประการใด ไขลูฟังแล้วตอบด้วยความทะนงตามนิสัยคนนักเลงว่า ท่านเป็นถึงอนุชาเจ้าประเทศเอกราช เรื่องน้อยเพียงเท่านี้ควรหาหรือเก็บมาทุกข์ใจ ทั้งอ้ายศัตรูนั้นกระดูกอ่อนสัมผัสคมดาบเข้าก็ยุ่ยไปเหมือนหยวกกล้วย เมื่อมันกรีดขวางอยู่ฉะนี้ไซร้จะละมันไว้ด้วยเหตุอันใด สอพินยาท้วงว่า  การเอาชีวิตมันโดยน้ำมือเรานั้นท่านจงพักไว้ก่อน ที่นี่มิใช่หงสาวดีอันเราจะกลบเกลื่อนความมิให่กรมเมืองสืบสวนได้ ซึ่งเราจะลงมือทำดั่งว่า แม้นเขาสืบสวนได้เค้าเงื่อนความจะลุกลามขึ้นเป็นคดีเมืองเกิดศึกระหว่างหงสาวดีกับตองอูขึ้นได้ อุบายอื่นยังมีดีกว่านี้ แลข้าพเจ้าประสงค์แต่เพียงทำให้มันอายเท่านั้น ยังมิมาตรหมายเอาชีวิต ไชลูจึ่งว่า กระนั้นไว้พนักงานข้าพเจ้าจะหาอุบายรัดกุมให้จงได้ ขอท่านจงแช่มชื่นกินอยู่ลุกนั่งตามปกติเถิดอย่าทุกข์ทนอนาทรสืบไปเลย สอพินยาได้คู่คิดก็คลายใจค่อยแจ่มใสกระปี้กระเปร่าเช่นเคย

            รุ่งเช้าไขลูเวียนไปหาสอพินยาอีก แจ้งว่าอุบายที่จะถีบหีวจะเด็ดออกไปนอกทางเรานั้น ข้าพเจ้าคิดเห็นตลอดแล้ว สอพินยาเรียกไขลูเข้ามาเจรจาสองต่อสองในที่ลับแล้วขอให้เล่าความคิด ไขลูจึ่งว่า กลนี้เป็นกลง่ายนักแล โทษที่หาให้มันง่าย ๆ แต่จะทำให้มันอับอายขายหน้าหนักนั้น ไม่มีอะไรจะง่ายยิ่งกว่าเอาของ ๆ เราไปทิ้งไว้ที่สำนักมันอยู่ แล้วหาว่ามันลักไป แลข้าพเจ้าคิดว่า ของที่ทำอุบายนี้ต้องเป็นของส่วนตัวของท่านที่มีค่าขุนวังเจ้าบ้านจักได้เกรงใจท่านลงโทษมันหนักโดยเห็นกับหน้าท่านอีกชั้นหนึ่ง สอพินยาว่า อุบายท่านแยบคายอยู่ แต่เราจะเอาของอะไรซุกให้มันดี ไขลูเจ้าเล่ห์จึ่งแนะนำว่า ธำมรงค์ในมือท่านเป็นเหมาะกว่าอย่างอื่น สอพินยาไม่เห็นชอบด้วยอ้างว่าธำมรงค์นี้เป็นของพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัว ชั้นชั่วแต่เพชรหัวแหวนก็มีราคาเท่าสมบัติของทกะยอดินประมาณกึ่งส่วนแล้ว ท่านจะนำเอาไปซุกที่มัน ปะมันเห็นเข้าคิดเป็นโชคลาภเอาของเราไปจริง ๆ แล้วมิลงทุนแพงเกินไปหรือ ไขลูหัวเราะแล้วว่า ยิ่งราคามากเท่าใดท่านยิ่งจะได้ประโยชน์มากเท่านั้น บรรดานายช่างหลวงเมืองหงสาวดีที่ชำนาญเชิงทำเรือนแหวนมีมากกว่ามาก ท่านจะมัวเสียดายวงแหวนอยู่ไยเล่า ครั้นเห็นสอพินยายังทำทีฉงน ไขลูจึ่งว่าต่อไปว่า ข้าพเจ้าจะเอาไปซุกแต่เรือนแหวน ส่วนเพชรนั้นท่านแกะออกเสีย ได้ของกลางไม่ครบดั่งนี้ทกะยอดินจะยิ่งร้อนใจ แลเป็นธรรมดาเมื่อคนของเขาเป็นคนเอาไปดั่งนี้ในฐานะที่ท่านเป็นฑูตเขาต้องเกรงใจ แลต้องจัดการใช้ราคาเพชรนั้นให้เป็นแน่แท้ หากท่านยังจะทำไมตรีเอาบุญคุณเป็นทางสืบไปข้างหน้าจงทำเป็นไม่เอาใช้จากขุนวัง เห็นว่าท่านทกะยอดินจะเกรงใจท่านยิ่งขึ้น ต่อไปท่านจะออกปากเอาสิ่งใดก็ไม่ขัดได้ ศิลาก้อนเดียวแลกนกถึงสองดั่งนี้ท่านยังไม่พอใจหรือ สอพินยาเปรมใจนักกอดเอาไขลูไว้แล้วว่า ท่านนี้เพลงดาบดีเป็นเลิศแล้ว สติปัญญายังดีมิด้อยกว่าเพลงดาบ ไว้กลับหงสาวดีเถิดจะรางวัลให้ถึงขนาด ครั้นคนทั้งสองวางอุบายแล้วก็มุ่งหาโอกาสอยู่

 

ตอนข้าหนุ่มนายสาว

          เป็นคราวที่จะเด็ดจะมีเคราะห์ จึ่งวันนั้นอารมณ์ให้ขุ่นมัวแลหงุดหงิดใจ ถ้อยคำน้ำรักของตะละแม่จันทราเมื่อวานเป็นเหตุให้กังวลใจหนัก ใจหนึ่งนั้นเชื่อดีอยู่ในตัวว่าคงจะได้กอดจันทราน้อยแต่โดยดีสักวันหนึ่งเป็นแท้ แต่อีกใจหนึ่งนั้นมอง ๆ แลความท้อก็แล่นขึ้นมาจุกใจ ด้วยหญิงนั้นคือพระราชธิดาตระกูลอันประเสริฐ แลวันนั้นทั้งวันมิได้สนทนากับสอพินยา ฟังอาการอยู่ภายนอกแจ้งว่าค่อยยังชั่ว จึ่งไม่อยากเข้าไปรบกวน ครั้นพอตกค่ำเดินเสไถลมาถึงเรือนทกะยอดิน หวังจะรายงานอาการสอพินยาให้ขุนวังทราบเอาไว้ นางนันทะวดีออกมารับหน้าแล้วชิงพูดเสียก่อนว่า พระโรคพระเจ้าสิริมหาชัยะสุระกลับกำเริบขึ้นอีกแล้ว โดยกระทบอากาศเย็นเกินไปเมื่อคืนวันลอยกระทง ท่านบิดาข้าพเจ้าคืนนี้อาจต้องค้างอยู่ในวัง แลหากท่านไม่มีงานอื่นสำคัญแล้วเชิญนั่งสนทนาเป็นเพื่อนพอให้อุ่นใจกันบ้างเถิด จะเด็ดฟังถ้อยคำนางนันทะวดีแล้วจินตนาการว่า อันแม่นายสาวผู้นี้ลักษณะแช่มช้อยน่าเจริญอัธยาศัย แม้ความเยือกเย็นสุขุมจะเป็นรอง ความอ่อนโยนก็ละม้ายตะละแม่จันทรา ท้งท่วงทีเล่าก็เหมือนจะหรุณาเรามากอยู่ ถึงเราจะตั้งสัตย์อันจะประคองใจให้ซื่อแก่ธิดาพระเจ้าเมงกะยินโยแน่วแน่แล้ว ก็ยังไม่วายจะหักใจอย่าให้มองโดยนิยม ซ้ำขืนสนทนาพาทีเป็นที่สนิทกันดั่งนี้เกรงจะหักใจไปไม่ตลอด อย่ากระนั้นเลย เราจะปลีกตัวเสียก่อน จะเด็ดรำพึงดั่งนี้แล้วจึ่งแจ้งกับนางว่า ข้าพเจ้ขออภัยเถิดวันนี้จะอยู่สนทนาด้วยมิได้ โดยอารมณ์ขุ่นมัวหงุดหงิดเป็นกำลัง ขืนอยู่ก็จะพลอยให้ท่านเสียความแจ่มใสไปกับข้าพเจ้าด้วย จะออกไปเดินเล่นในบริเวณลานสวนก่อนนอนสักพักหนึ่ง  นางนันทะวดีมีที่จะพึงใจจะเด็ดสุมอยู่ทีละน้อยนับวันก็พอกพูนมากขึ้น วันนี้ยิ่งอยู่ลำพังก็ทำเอาลืมประเพณีออกปากจะขอไปด้วย จะเด็ดจะห้ามโดยตรงก็เกรงใจ จึ่งว่าข้าพเจ้าประสงค์จะอยู่เงียบ ๆ ประสาสงบอารมณ์ตามลำพัง ท่านไปด้วยก็คงไม่ได้คุยให้รื่นเริง ธิดาทกะยอดินหาฟังไม่ บอกว่าท่านเดินของท่านไปเงียบ ๆ ส่วนข้าพเจ้าก็จะตามท่านไปเหมือนเงา ทั้งนี้จะรบกวนท่านอย่างใดเล่า จะเด็ดเห็นว่าโดยดีมิเชื่อ จึ่งเตือนว่า ท่านมิใช่เด็กแลข้าพเจ้าไมใช่คนชรา จะตามใจตัวเองเกินไปกระนั้นทางมิชอบเปิดรับเรากว้างนัก นางนันทะวดีตอบว่า ยิ่งท่านว่าดั่งนี้ด้วยแล้วเป็นตายร้ายดีอย่างไรข้าพเจ้าก็จะไปให้จงได้ เมื่อท่านไม่ไปข้าพเจ้าจะไปคนเดียว แลเดินอยู่นั่นจนรุ่งจึงจะขึ้นมา ท่านจงดำริดูเถิดว่า ข้าพเจ้าไปด้วนท่านอย่างหนึ่ง กับข้าพเจ้าจะไปคนเดียวอย่างหนึ่ง สองประการนี้ข้างไหนจะเสียมากกว่ากัน จะเด็ดว่าตั้งแต่ข้าพเจ้าพบผู้หญิงมา ยังจะเคยเห็นใครจะดื้อดึงเหมือนอย่างท่านไม่เคย แม่บุตรแห่งนายเอยขอให้งอนแลดื้อกับข้าพเจ้าซื่อคนเดียวเถิด อย่าไปดื้อกับผู้อื่น หากผู้นั้นไม่รักท่านแล้วจะไม่ตามใจ นางนันทะวดีก็ชอบคำนั้นนัก สั่งคนใช้ว่าเราจะไปเดินเล่นด้วยท่านจะเด็ดแค่ลานสวนนี้ หากบิดาจะกลับแม้ท่านมิเรียกหาก็ไม่ต้องไปตาม ซึ่งนางนันทะวดีสั่งดั่งนี้เพราะท่านขุนวังถนอมกล่อมเกลี้ยงตามใจนางเป็นที่สุด นางจึ่งไม่เกรงบิดาตัวจะตำหนิเอา

            จะเด็ดเคืองนางโดยเมตตาแกมมากอยู่ ก็แสร้งเดินนำหน้าไปโดยไม่ปริปากพูด ทำราวกับข้างหลังตัวไม่มีใครตาม นางนันทะวดีเป็นคนคงแก่เรียนแลชอบอ่านลักษณะคน พิจารณจะเด็ดแล้วคำนึงว่า อันชายผู้นี้ลักษณะหนึ่งพระยาม้าต้น อายุน้อยยศถาบรรดาศักดิ์นิดหนึ่งเล่ามิได้มีติดตัว แต่พูดจาเฉียบขาดหาสะทกสะท้านต่อใครมิได้ ดั่งใหญ่เสมอด้วยคนขนาดบิดาเรา หากพนักงานผู้น้อยผู้อื่นแล้ว คงสมัครเดินหลังไม่กล้าเดินหน้าเราดั่งนี้แล้ว แต่นี่จะเด็ดทำเหมือนหนึ่งเรามิใช่ลูกนาย จะหาว่าจองหองก็มิถนัด ด้วยถ้อยคำหางเสียงก็ละมุนละม่อมอ่อนน้อมอยู่ ต่ำต้อยดอกแต่ก็ไว้ตัว คนหยิ่งโดยรู้จักประมาณตนฉะนี้ ก็ชอบแล้วจะเป็นที่พิสมัยของตะละแม่เมืองตองอู ธิดาทกะยอดินยิ่งเพ่งจะเด็ดมากก็ยิ่งปั่นป่วนรัญจวนใจมากขึ้นทุกที

            ตกมาถึงที่แยกเป็นทางน้อย ที่นั้นขุนวังประดับศิลาก้อนใหญ่ ๆ เรียงรายไว้เป็นที่นั่ง จะเด็ดเห็นแม่นันทะวดีตามตัวเหมือนลูกโคตามรอยเท้าแม่ เอ็นดูว่าจะล้าจึ่งหันมาว่านายท่าน ทำลายความตั้งใจเดิมสิ้นแล้ว จะเดินอึ้งไม่พูดจาเหมือนคนใบ้ฉะนี้ก็จะทรมานเพื่อนร่วมทางเดินด้วยกัน ฉะนั้นเชิญบุตรนายท่านนั่งพักเสียที่นี่เถิด เราจะได้สนทนากันสักครู่ยังพอจะได้ นางนันทะวดีก็นั่งตามคำ

            แล้วธิดาทกะยอดินก็ฟื้นเอาเมื่อวันกลางเดือนในคืนลอยกระทงมาพูดถามไปถึงพระธิดาอีก สรรเสริญโฉมตะละแม่จันทราว่างามหาหญิงใดในตองอูเสมอเหมือนมิได้แล้ว แลแกล้งยั่วจะเด็ดว่า ท่านนี้ใจจืดได้อยู่ร่วมพระราชธิดาช้านานมา แต่คำหนึ่งหาสรรเสริญตะละแม่ให้ข้าพเจ้าฟังไม่เลย คนที่ไม่สรรเสริญเพื่อนเมื่อลับหลังจะเรียกว่ารักแลซื่อต่อยังมิได้ก่อน จะเด็ดถูกแทงใจดำดั่งนั้นก็เคือง มิทันยั้งคิดถึงความตื้นลึกประการใด จึ่งตอบออกไปว่า เหตุใดท่านจึ่งมาเจตนาหมิ่นน้ำใจข้าพเจ้าดั่งนี้ ข้าพเจ้ามีความซื่อต่อตะละแม่เกินกว่าที่มีกับตัวเองเสียอีก ฉะนั้นถ้าปรามาสเอาถึงความขัอนี้ซ้ำ ท่านกับข้าพเจ้าจะขัดใจกัน นางนันทะวดีหัวเราะแล้วว่า ตั้งแต่คบกันมาเพิ่งเห็นจะเด็ดเจรจาแพ้รู้คนวันนี้ ท่านปฏิเสธขึงขังแข็งแรงนักเห็นได้ถนัดว่าได้ผูกรักตะละแม่ตามคำคนลือ แลที่พระราชบุตรเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังก็แน่แล้ว อย่าได้ปากแข็งพูดคลุมเครือต่อไปเลย จะเด็ดรู้ว่าพลาดท่าเลยนิ่งเสียไม่โต้เถียง นางนันทะวดีจึ่งถามว่า ที่ข้าพเจ้าล่วงรู้ความข้อนี้ท่านตกใจหรือ

            จะเด็ดจึ่งว่า ข้าพเจ้าจะต้องตกใจด้วยกลใด อันวิสัยข้าพเจ้านั้นลงรักแล้วไม่ตกใจดอก เรื่องจะทราบถถึงหูใครใด เพราะถึงคนทั้งปวงรู้ก็ได้แต่รู้ ซึ่งห้ามใจเราไม่ให้รักกันก็ห้ามมิได้ แต่ที่ไม่บอกให้ใครรู้ก็โดยใช่หน้าที่มีสำหรับจะเที่ยวบอก นางนันทะวดีค้านว่า วิสัยผู้ชายนั้นเขาว่าย่อมปกปิดเรื่องรักของตัวไว้ไม่ยอมให้แพร่งพรายไปถึงหูหญิงอื่นก็เพราะเกรงจะขัดต่อการคะนองใจของตัวต่อไปหรือมิใช่ แลที่ท่านปิดความเรื่องนี้ก็โดยเกรงจะเสียราคาสำหรับเมื่อเกิดคนอื่นจะมารักท่านกระนั้นหรือ จะเด็ดตอบว่า ผู้ชายที่ปิดเรื่องความรักของตัวเพื่อจะแสดงตัวเพื่อจะแสวงรักต่อไปนั้นอาจมี แต่คนผู้นั้นมิใช่คนที่ชื่อจะเด็ดคือตัวข้าพเจ้า ธรรมดาข้าพเจ้าเป็นคนตามใจตัวถึงรักอยู่แล้วถ้าเกิดรักอีกก็รักซ้ำอีก นางนันทะวดีจึ่งว่า ท่านนี้เป็นที่อันตรายกับสตรียิ่งกว่าคนที่ซ่อนเรื่องรักไว้ในใจตามธรรมดา เมื่อปล่อยใจของท่านไปทุกโอกาสที่ใจอยากได้ดั่งนี้แล้ว คนที่ได้รับน้ำใจจากมท่านก็ต้องเรียกว่าได้รับอย่างฟั่นเฝือเต็มที่ พึงถือเอาเป็นแก่นสารจริงจังนั้นมิได้ จะเด็ดว่า นายท่านนั้นเด็กนักแลมิหนำเป็นหญิงเฝ้าเรือน แต่วันนี้เรามาคุยกันอย่างเพื่อนชายเถิด ข้าพเจ้าอธิบายให้ฟังว่าน้ำใจข้าพเจ้าเป็นไปสถานใด

            อันว่าน้ำใสใจรักของคนเรานั้น แม้นรู้จักบังคับก็ต่างว่าผลหมากรากไม้ มิใช่ผ่าอีกเป็นซีกเป็นเสี้ยวจ่ายไปแล้วของเดิมจะหมดไปตามซีกตามเสี้ยวที่จ่ายด้วยก็หาไม่ หรือจะว่าเป็นผลไม้น้ำใจ ข้าพเจ้าก็อุปมาดั่งผลไม้กายสิทธิ์ แบ่งไปแล้วไม้รู้ขาดจำนวนของเดิม เช่นว่าข้าพเจ้าถวายความซื่อสุจริตไว้กับพระราชธิดาเช่นนี้ แม้เบือ้งหน้าจะเกิดใจรักใครควบขนานขึ้นอีก ข้าพเจ้าก็หาได้ลดจำนวนที่ถวายตะละแม่จันทราลงไป คนฟังเผิน ๆ มิรู้ใจข้าพเจ้าจะแจ้งให้เข้าใจว่าโลเลไม่ยั่งงยืน แต่ถ้าพิเคราะห์ให้ละเอียดแล้ว ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้านี่แล้วเป็นคนทำถูก นางนันทะวดีอยากจะค้าน แต่คำค้านอับจนที่จะกล่าว ได้แต่คิดในใจว่าคนคนนี้ช่างประหลาดพิกลที่สุดแล้ว เราชวนพูดเรื่องคนรักเก่า ปรารถนาให้ปฏิเสธปิดบังเช้นชายอื่น สอบน้ำใจว่าจะมีใจเบนมาทางเราบ้างเล็กน้อยหรือไรก็กลัลโด่งไปเสียทางอื่นตามอารมณ์ตัว ตรองดูจะเด้ดเป็นคนกล้าพูดตามใจฉะนี้ หากฝักใฝ่เราแล้วหรือจะไม่กล้าบอกเรา แลเราทอดตัวลงมาสนทสนมด้วยหลวมตัวถึงเพียงนี้ เมื่อคนผู้นี้ไม่มีใจเจตนาก็คงจะเก็บเราไปดูหมิ่นวันหน้าเป็นเที่ยงแท้ มองเห็นทางเสียดั่งนี้ นางนันทะวดีก็หน้าเศร้าแต่สะกดความเสียใจไว้ไม่อาจออกเสียงพูดโดยเกรงเสียงตัวเองจะสั่นพิรุธ เจ้าหนุ่มผู้มีอารมณ์ประหลาดเห็นอาการนางเปลี่ยนไปฉับพลันก็สงสัย ถามว่า เรื่องราวที่เราสนทนากันผิดใจท่านตรงไหนหรือจึ่งมีกิริยาดั่งนี้ ธิดาขุนวังมีความเสียใจเป็นทุนมากอยู่แล้ว ครันถูกถามเช่นนั้นไม่รู้จะตอบประก่รใด อ้ำอึ้งอับจนถ้อยคำแลน้ำตาที่กลั้นไว้นั้นมิอยู่ก็ไหลออกมาแลให้รู้สึกอายนัก จึ่งรีบลุกขึ้นเดินหนี จะเด็ดไม่ทราบเรื่องประกอบกับความตกใจก็จับมือนางรั้งไว้โดยไม่เจตนา

            แม่นันทะวดีพึ่งแรกรุ่นจำเริญชันษามิเคยต้องมือชาย ครั้นมาถูกน้ำมือชายซึ่งมิใช่เป็นคนธรรมดา คือเจ้าหนุ่มที่นางจงใจสมัครอยู่ด้วยอกก็หวิวระทึก รู้สึกอ่อนเปลี้ยเหมือนลูกนกที่ต้องน้ำลายงู ส่วนใจอยากสะบัดปัดมือจะเด็ดให้พ้นไป แต่กำลังกายนั้นแม้จะดึงแขนของตัวกลับก็หาดึงไหวไม่แล้ว ความประหม่าความรักและความเคืองประดังมาพร้อมกัน สติก็สิ้นไปจากตัว กลับผวาเข้ากอดจะเด็ดไว้แล้วร้องไห้เป็นการใหญ่ จเหนุ่มตกใจนัก ค่องผลักเบามือแล้วยังเห็นนางมิยอมจาก จึ่งว่าแม่นันทะวดีนายท่านไฉนจึ่งมาเป็นดั่งนี้

            บุตรีขุนวังกอดจะเด็ดเข้าไว้ ตอบทั้งที่มิได้เงยหน้าว่า ข้าพเจ้านี้ชั่วช้าสาหัส มีน้ำใจผิดลูกผู้หญิงทั้งปวง รักท่านจนมิอาจระงับกิริยาได้ ครั้นยอมตัวสนทชิดเชื้อราวกับจะยอมเป็นข้ารับใช้ท่านแล้ว ท่านก็ยังแสร้งทำประหนึ่งไม่รู้สึก จึ่งน้อยใจราคาตัวของตัวเองนักที่ชะล่าหลวมตัวมาให้ท่านนึกเย้ยในใจได้ จะเด็ดเห็นนางกำลังโศกเพราะตนเป็นต้นเหตุก็ร้อนใจ ตอบว่า ข้าพเจ้าหาเคยคิดหมิ่นแคลนหญิงใดไม่ แลยิ่งท่านซึ่งเป็นลูกนายก็กลับสรรเสริญแลสำนึกคุณอยู่ในใจเสียซ้ำ ฉะนั้นขอท่านอย่าน้อยใจเพราะเหตุนี้เลย เชิญลุกนั่งให้เป็นปกติก่อนเถิดจึ่งค่อยเจรจากันสืบไป ขืนยืนอยู่เช่นนี้กิริยาทั้งของท่านแลของข้าพเจ้าเป็นที่ล่อแหลมนัก ใครใดได้มาพบปะจะเล่าความอื้อฉาวไปได้มลทินจะเกิดแก่แม่นันทะวดีนายข้าพเจ้า แล้วจะเด็ดก็ค่อยดึงนางให้นั่งลงอีก ลูกสาวทกะยอดินมือนั้นเกาะเสื้อจะเด็ดมั่นไม่ยอมปล่อย

            แล้วนางดำริว่า เราเผลอตัวไปถึงเพียงนี้ก็จัดว่าเสียอย่างสิ้นประตูแก้ ไหน ๆ เลยแล้วก็ต้องทำตามตามเลย จะเป็นที่น่าบัดสีเพียงไหนเทียว ถ้าจะบอกความในใจกับผู้ชายที่เรารัก แลนางก็ถามจะเด็ดว่า เห็นท่านก็เป็นคนอารมณ์ปรหลาดกว่าชายทั้งปวง ท่านไม่รังเกียจในอันจะฟังคำข้าพเจ้าหรือ จะเด็ดว่า ข้าพเจ้ามีความแจ่มใสแลคอยสดับธรรมเทศนาอยู่แล้วจึ่งไม่เข้าใจคำที่ว่ารังเกียจนั้นหมายความว่าอย่างไร นางนันทะวดีใจคอค่อยดีขึ้นแลว่า เพราะลิ้นของท่านกลั่นกล่าวแต่คำไพเราะเช่นนี้เอง จึงปั่นให้ข้าพเจ้าลืมตัว ละประเพณีกล้าผิดหญิงดั่งนี้

            ข้าพเจ้าพิเคราะห์ท่านว่าเป็นคนซื่อแลพูดอาจหาญก็สะกิดใจ แลยิ่งได้ข่าวความในของท่านกับพระราชธิดาด้วยแล้ว สงสารในเคราะห็กรรมเป็นที่สุดแล้ว แลแม้ท่านจะได้พบข้าพเจ้าน้อยวันก็มีอำนาจราวกะเคยเป็นนายข้าพเจ้ามาสักสิบชาติ อนึ่ง เนื้อแท้ข้าพเจ้าก็หารู้ไม่ว่าความสวามิภักดิ์ต่อท่านนั้นจะเกิดด้วยเหตุผลกลใด ทั้งข้าพเจ้าจะได้เคยคิดอาจเอื้อมจะเป็นคนที่รักเสมอด้วยตะละแม่จันทราก็หามิได้ ปรารถนาจะได้เป็นเพียงคอยอยู่ใกล้กล่อมใจท่านให้คลายเศร้าในขณะพลัดสำนักที่อยู่บัดนี้เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าหวังจะฝากรักแลซื่อแห่งตัวไว้แก่ท่านแต่ฝ่ายเดียว มิได้หวังประโยชน์จะให้ท่านรักแลซื่อตอบ เมื่อท่านพูดถถึงมารดาแลคนรักแห่งท่านครั้งใด ข้าพเจ้าเห็นท่านมีหน้าสลดก็รู้อยู่ว่าท่านมีทุกข์ใจข้อนี้ท่วมอก ข้าพเจ้าสุดจะดูท่านมีทุกข์สุมอยู่คนเดียวได้ แลคาดว่าความสุจริตของตัวคงเป็นเครื่องแบ่งเบาความกังวลใจมาจากท่านได้บ้าง จึ่งหักใจบอกความนี้แก่ท่าน

            จะเด็ดฟังนางพูดโดยซื่อก็จับมือมากำนิ่งไว้ พินิจหน้าแล้วสะท้อนสะท้านใจแล้วว่า ข้าพเจ้าชั่งบาปหนาที่เกิดมาเป็นคน หากเป็นวัวเป็นควายยังจะเห็นเป็นบุญกว่า เพราะจะรับใช้เสนอสนองความเมตตาของท่านให้สมใจตัว มาตรถ้าข้าพเจ้าจะบอกไม่รับความกรุณาของท่าน ขออย่าได้เข้าใจว่าข้าพเจ้าจะเป็นคนจองหองเลย ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่าตัวเป็นคนยาก หากจะชวนนางผูกใจด้วยก็เสมือนแกล้งชวนให้มาดื่มความทุกข์ร่วม ประโยชน์มิได้งอกเงย รังแต่ท่านจะเปลืองตัว ใคร่ครวญข้อนี้เถิดแม่นันทะวดีผู้มีคุณจึ่งจะเห็นแจ้งว่าข้าพเจ้าจะรับความอารีของท่านให้ยืดยาวไปมิได้แล้วเพียงความน้อยใจในวาสนาของตัวก็ยังทำอารมณ์ขุ่นอยู่เนืองๆ แล้วสติข้าพเจ้าก็จะยิ่งขุ่นจนเอาดีอึดใจหนึ่งก็มิได้ ซึ่งท่านบอกความซื่อสุจริตแก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าจะมีชีวิตอยู่โดยไม่รู้น้ำใจท่าน แต่ขอให้รับเพียงความซื่อชนิดนายมีต่อบ่าวเถิด แม้นเราสมคบกันผูกใจให้เกินกว่านั้นวิตกว่าชีวิตจะเด็ดจะสั้นเพราะความระทมใจ ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้โดยได้มองการณ์กว้างไกลแลรอบคอบแล้วมิได้ว่าโดยใจอย่างอื่น ขอท่านอย่ามีความน้อยใจเลย ถึงจะเด็ดจะพูดคำหวานแต่หางเสียงมั่นคงนัก นางนันทะวดีพิจารณาความข้อนี้ได้ถนัดว่าจะเด็ดไม่ปลงใจด้วยก็เสียน้ำใจ ร้องว่าสมน้ำหน้าแล้วที่เรามิได้สำนึกค่าตัวหญิง ริอ่านทำการผิดเพศตัวออกปากฝากรักด้วยชายก่อนชั่วช้าเป็นที่สุด หากจะอยู่เป็นคนต่อไปก็ประมาณราคาว่าเลวหาสิ่งใดเปรียบอีกไม่ได้แล้ว จะเด็ดเอยเมตตาข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ช่วยปิดความมิดีที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ท่าน สิ่งใดชาวที่ได้ทำไปแล้วได้อโหสิให้เสีย ข้าพเจ้าจะได้ไม่เป็นห่วงว่าคราวสิ้นตัวแล้วชื่อยังจะถูกประจานมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บรรดากุลสตรีในเมืองตองอูต่อไป แล้วนางก็ผลุนผลันวิ่งจะกลับเรือน

            จะเด็ดเวทนาแลเห็นใจนางก็วิ่งมาทันเมื่อครึ่งทาง รั้งตัวไว้เป็นคำรบสอง แลว่าไฉนแม่นันทะวดีท่านฉุนเฉียวขาดตรองดังนี้ ธิดาขุนวังว่า ข้าพเจ้าไม่มีความใดจะตรองอีกแล้ว ความอายเป็นอารมณ์ของกุลสตรี สตรีสิ้นความละอายก็ถึงกาลวิบัติ เมื่อได้เปิดปากบอกรักชายก่อนก็เป็นความชั่วกาลีชั้นสุดของผู้หญิงแล้ว จึ่งควรที่ความเป็นคนจะต้องถึงที่สุดด้วย ท่านนั้นคงบุญเกินวาสนาข้าพเจ้า นับแต่ได้ยินชื่อยังมิได้พบตัวก็ไม่สบายเพราะรู้สึกชังชื่อจะเด็ด แต่ครั้นมาพบปะสนทนากับท่านเข้าความชังกลับเป็นอื่น นับวันก็ยิ่งทรมานใจ จงปล่อยเสียเถิดอย่าหน่วงไว้เหยียบย่ำให้หนักอีกเลย จะเด็ดเกรงนางจะแค้นมากถึงกับกล้าทำลายตัวเพราะเจรจาหนักแน่นอยู่จึ่งยึดไว้ไม่วางมือ แลว่าท่านจงยับยั้ยชางใจให้ดีก่อนจะมองผิว ๆ แล้วน้อยใจดั่งนี้หาชอบไม่ดอก เราอยู่ร่วมกันนับเดือน ๆ มาท่านไม่แจ้งหรือว่าข้าพเจ้าจงรักภักดีท่านสถานใด ข้าพเจ้ายังจะปล่อยท่านไปมิได้ ด้วยรู้สึกว่าท่านนั้นไม่แจ้งน้ำใจ้ข้าพเจ้าพอ

            แล้วจะเด็ดก็สืบไปว่า ท่านนี้เปรียบเหมือนกิ่งกระหนกช่อฟ้ารอวันคืนอยู่ว่าจะยกไปประดับจั่วยอดหลังคา ข้าพเจ้าเห็นค่าท่านสูงดั่งนี้จึ่งมิอาจเอาตัวเข้าไปผูกพันเป็นการถ่วงค่าท่านไว้ นางนันทะวดีก็ว่าน่าหัวเราะนัก ก็ทีตะละแม่จันทราราชธิดาพระเจ้าสิริชัยะสุระนั้น มิสูงสุดเอื้อมหรือ ไฉนมิเกินกำลังที่ท่านประหยัดใจ ส่วนข้าพเจ้าสิเป็นเพียงบุตรีขุนนางผู้ใหญ่ ท่านกลับแกล้งมายกค่าเสียเลิศลอย ข้าพเจ้าบอกท่านขอแต่ฝ่ายตัวรัก จะบังคับให้ท่านมีกระใจต่อนั้นมิได้ เห็นเคยจะเด็ดท่านเป็นคนพูดตรงอยู่ ไฉนครั้งนี้จึ่งมายอกันด้วยลิ้นเท็จกระนี้เล่า จะเด็ดจึ่งว่า ท่านกับพระราชธิดานั้นต่างกัน ถึงตะละแม่จันทราจะมีค่าควรเมือง แต่สำหรับคนทั้งปวงแล้วก็เหมือนว่าไร้ค่า เพราะคนที่จะมาเป็นผัวนางนั้นมีแต่เจ้าประเทศเอกราชไม่กี่องค์ บางทีนางจะสิ้นชาติเสียโดยมิได้อุปภิเษกด้วยซ้ำ เหตุนี้ข้าพเจ้าจึ่งจงใจรักนาง ส่วนท่านนั้น บรรดาบุตรคหบดีแลอำมาตย์ผู้ใหญ่ที่คู่ควรกันมีอยู่มากหน้า ท่านสิจะตกเป็นของชายอื่นง่ายยิ่งกว่าตะละแม่พระราชธิดา ฉะนั้นเมื่อข้าพเจ้าเจียมตัวว่าตัวไม่ดีพอ ขืนไม่ยั้งใจเมื่อท่านตกไปเป็นของชายอื่นแล้ว ความที่เคยรักท่านก็จะเป็นเครื่องพันธนาการใจ ข้าพเจ้าจึ่งขอให้ความซื่อสัตย์แก่ท่านไว้เพียงฐานะบ่าวกับนาย เพราะเหตุนี้แล เมื่อได้พิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าท่านดีเกินข้าพเจ้าฉะนี้แล้วท่านยังควรสิ่งใด อับอายขายหน้าอยู่อีกหรือ แลซึ่งท่านพูดตามใจนั้นก็มิใช่ความผิด กลับเป็นความชอบที่มนุษย์ไม่เคยทำ โดยแสดงว่าท่านเป็นคนหามายาไม่รักแล้วก็พูดตามใจ ท่านหากรับว่าเข้าใจความที่ข้าพเจ้าว่านี้แจ่มชัดไม่น้อยอกน้อยใจสืบไปแล้ว ข้าพเจ้าจะปล่อยท่านไป นางนันทะวดีกำลังระทมอยู่ก็บอกปัดว่า ข้าพเจ้าจะเข้าใจผิดถูกอย่างไรก็ปล่อยตามประสาข้าพเจ้าเถิด ว่าแล้วนางก็ดิ้นรนจนหลุด แลวิ่งกลับไปเรือน

            ครั้นนางกลับไปแล้ว เจ้าหนุ่มให้พะว้าพะวังใจ น้ำใสใจจริงของธิดาทกะยอดินก็เห็นอยู่ว่าบริสุทธิ์นัก แต่ถึงตนจะลังเลใจก็ไม่อาจออกปากรับ ด้วยเมตตาตะละแม่จันทราว่านางสิทุกข์ใจอยู่ทางโน้น ส่วนตัวจะมามีสุขด้วยสตรีอื่นนั้นเหมือนซื่อต่อกันแต่ปาก จะเด็ดตรองความทั้งสองข้างแล้วไม่สบายใจ จึ่งกลับที่พักตัวแล้วนั่งนิ่งคำนึงอยู่